Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

...ความเชื่อของคนหนึ่งคน...

            ถ้าพูดถึง “ ความเชื่อ “ อย่างแรกที่อาจจะพุ่งขึ้นมาในหัวของหลาย ๆ คนก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องศาสนา ลัทธิ หรือพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง ที่อาจจะสามารถหรือไม่สามารถพิสูจน์ออกมาได้ บางคนมองว่าทุกอย่างที่ไม่สามารถพิสูจน์ออกมาทางวิทยาศาสตร์ได้ไม่ใช่ความจริง แต่บางคนกลับมองว่าวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้สามารถพิสูจน์ได้ทุกอย่างเสมอไป เพียงแค่เกริ่นมาด้วยประโยคสั้น ๆ เท่านี้ก็น่าจะสังเกตถึงความแตกต่างที่หลากหลายของความเชื่อของคนในสังคมที่เราอยู่อาศัยกัน

             เพราะ “ ความเชื่อ “ ไม่ได้มีอยู่ในแค่เรื่องวิทยาศาสตร์หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ความเชื่อมีอยู่ในทุกมิติของชีวิตคนเรา ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น บางคนเชื่อว่าพริกจะเผ็ดมาก ๆ เม็ดสองเม็ดก็ปากพองแล้ว แต่บางคนก็เชื่อว่าพริกแค่นี้มันไม่เท่าไหร่เลยถ้าจานข้าวไม่แดงแสดงว่าร้อนแรงไม่พอ หรือบางคนเชื่อว่าตัวเองรักษาของไม่ได้ ซื้อมาแปบเดียวเดี๋ยวก็พังแล้ว แต่บางคนก็เชื่อว่าเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากของชิ้นหนึ่งไปได้จนคุ้มค่าแน่นอน เป็นต้น ถ้าคุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเชื่อแล้วละก็ หากคุณสังเกตดี ๆ คุณจะพอจับ “ ความเชื่อ “ ของคนใกล้ตัวได้จากวิธีการใช้ชีวิตของพวกเขา หรือจากจุดเด่นบางอย่างของพวกเขาได้

             เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเชื่อก็คือ ความเชื่อเป็นเรื่องที่มีบทบาทกับทุกมิติในชีวิตของเรา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะหลาย ๆ คนที่ยังมีปมปัญหาบางเรื่องในชีวิตก็ยังโทษชะตาฟ้าดินว่าทำไมถึงสร้างฉันขึ้นมาให้อาภัพเช่นนี้ แต่เชื่อไหมว่าปัญหาที่หลาย ๆ คนเจอ สิ่งที่หลาย ๆ คนรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกโชคชะตากลั่นแกล้ง นั่นเป็นผลลัพธ์ของ “ ความเชื่อ “ บางอย่างที่อยู่ในตัวคุณ

ความเชื่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?

             เมื่อชีวิจของทุกคนเริ่มต้นขึ้น คุณออกมาหายใจเอาอากาศฟอดแรกเข้าปอด แล้วแหกปากร้องครั้งแรกออกมาจากท้องแม่ ในช่วงจังหวะนั้นคุณจะเป็นเหมือนกระดาษขาวสะอาดที่ไม่มีรอยขัดเขียนใด ๆ เลย นั่นคือช่วงที่คุณจะไม่มี ” ความเชื่อ “ อะไรอยู่ในตัวเลย คุณไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คุณไม่รู้ว่าความเจ็บปวดเป็นเรื่องที่ไม่ดี คุณไม่รู้ว่าการโอบกอดจะทำให้คุณรู้สึกดี คุณไม่รู้ว่าความรักคืออะไร คุณไม่รู้ว่าความสวยงามคืออะไร ฯลฯ

             แต่สิ่งที่จะบ่มเพาะความเชื่อให้เกิดขึ้นกับตัวคุณคือ “ ประสบการณ์ “ นั่นเอง ซึ่งถ้าหากอ้างอิงจากศาสตร์เรื่องจิตวิทยาสื่อประสาท หรือ NLP ประสบการณ์จะเกิดขึ้นจากการรับสารผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็ตาม ซึ่งเมื่อเรารับสารเข้ามาแล้ว สารที่ถูกรับเข้ามาจะโดนส่งขึ้น/ไปประมวลผลด้วยสมอง และสมองของคุณจะจดจำประสบการณ์เหล่านั้นเอาไว้ ทำให้เกิดเป็นความเชื่อบางอย่างขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของคุณ

             ความน่าสนใจมันอยู่ตรง “ การประมวลผล “ เนี่ยแหละ เพราะเมื่อคุณประสบหรือว่าเจอเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับประสบการณ์ในอดีตของคุณ “ การประมวล “ ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าครั้งนี้จะแตกต่างออกไปจากการประมวลผลครั้งแรกแล้ว เพราะคุณมีชุด “ ความเชื่อ “ อยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณแล้ว และความเชื่อชุดนั้นแหละ จะทำให้การประมวลผลของคุณในครั้งนี้ แตกต่างออกไปจากเดิม

 ความเชื่อจะทำให้ “ ความเป็นจริง “ ของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป

             เมื่อชีวิตทุกชีวิตเจอกับเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ประสบการณ์ของแต่ละคนก็ย่อมจะแตกต่างกันออกไปเป็นเรื่องปกติ และเมื่อประสบการณ์แตกต่างกัน “ ความเชื่อ “ ก็แตกต่างกันออกไป และเมื่อความเชื่อแตกต่างกันออกไป “ ความจริง “ ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย

             พอพูดถึงเรื่องความจริงที่แตกต่างกันออกไปก็อย่าเพิ่งตกใจว่าทำไมอยู่ ๆ มาพูดถึงโลกความจริงคู่ขนาน Parallel world หรือ Multi-verse เหมือนในหนัง Marvel เราไม่ได้พูดถึงอะไรแบบนั้น แต่เรากำลังพูดถึง “ แว่นตา “ ที่เกิดจากความเชื่อของแต่ละคน และเจ้าแว่นตานี้จะทำให้คุณมองเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ตามเวนซ์ที่เกิดจากประสบการณ์ ทำให้คุณเห็นความจริงตามสิ่งที่สะท้อนออกมาจากแว่นของคุณนั่นแหละ

ยกตัวอย่าง

             นายเอเป็นคนที่กลัวหมาเอามาก ๆ เพราะตอนเด็ก ๆ นายเอเคยโดนฝูงสุนัขวิ่งไล่และถูกกัดจนเป็นแผลใหญ่ต้องไปเย็บต้องรักษานานพอสมควร นั่นทำให้นายเชื่อว่า “ หมาคือสิ่งมีชีวิตที่อันตราย “ และไม่ว่านายเอจะเจอหมาตัวไหนก็ตามนายเอจะออกอาการกลัวอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่หมาพันธ์ดุตัวใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่นายเอกลัวหมาตัวเล็ก ๆ ด้วย หมาบางตัวที่เป็นเหมือนตุ๊กตาน่ารัก ๆ ขนาดเท่ากระเป๋าสพายของคุณสุภาพสตรีก็ทำให้นายเอไม่กล้าเข้าใกล้ได้

             จากตัวอย่างจะทำให้เห็นว่านายเอที่เคยมีประสบการณ์บางอย่างในวัยเด็ก มองหมาตัวหนึ่งผ่านแว่นที่เต็มไปด้วยภาพที่ตัวเองเคยโดนหมาวิ่งไล่กัดเป็นฝูง ทำให้นายเอเกิดอาการ “ กลัว “ ขึ้นมา แตกต่างจากคนอื่นที่ไม่ได้มีประสบการณ์แบบเดียวกันกับนายเอ บางคนเป็นคนรักมา เห็นหมามองหน้าไม่ได้ทนไม่ไหวอยากจะเข้าไปลูบไปเล่นด้วย นี่คือความแตกต่างของ 1 เหตุการณ์ ที่ถูกมองผ่านคนสองคน แล้วเกิดเป็น “ ความจริง “ สองแบบขึ้นมา

             เมื่อเราได้ยินเรื่องเล่านี้ก็น่าจะพอเข้าใจว่าทำไมนายเอถึงได้กลัวหมาขนาดนี้ แต่มันมีเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึง่ในตัวอย่างข้างต้น ไอ้การกลัวหมาใหญ่หรือหมาพันธ์ดุ ๆ นี่ยังพอเข้าใจ แต่นายเอกลัวหมาตัวเล็ก ๆ ด้วย ซึ่งถ้าลองวิเคราะห์ดูแล้ว นายเอไม่น่าจะกลัวน้องหมาตัวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนตุ๊กตากัดเอาได้ ปากมันไม่น่าจะอ้าได้กว้างพอจะกัดเจ็บด้วยซ้ำ ซึ่งในสายตาหลาย ๆ คนก็คงจะดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ คำถามคือ ทำไมนายเอถึงได้กลัวหมาตัวเล็ก ๆ ด้วย นั่นเป็นเพราะว่า ความเชื่อไม่ได้อยู่ในจิตสำนึกหรือในสมองของเรา แต่ความเชื่ออยู่ในใจ หรือที่เราเรียกกันว่า “ จิตใต้สำนึก “ นั่นเอง

             อธิบายการทำงานของจิตใต้สำนึกแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือพื้นที่ของความเชื่อ ประสบการณ์ และความคิด ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงที่เราเรียกกันว่า “ ตรรกะ “ นั่นแหละ ฝั่งจิตสำนึกที่อยู่ในกำแพงตรรกะของเรา จะทำให้เราคิดและประมวลผลได้ ว่าง่าย ๆ ก็ถ้าจิตสำนึกเรารับรู้ว่าสีแดงผสมสีเหลืองจะได้สีส้ม เมื่อมีคนบอกว่าสีแดงผสมสีเหลืองได้สีชมพูขึ้นมา เราจะใช้ตรรกะประมวลผลและตัดสินได้ทันทีว่านั่นเป็นเรื่องผิด แต่ถ้าหากว่าเราถูกป้อนข้อมูลเข้าไปในจิตใต้สำนึกว่า สีแดงผสมสีเหลืองจะได้สีชมพู เราจะ “ เชื่อ “ ทันทีโดยที่ไม่มีตรรกะมาตัดสินว่านั่นถูกหรือผิด สำหรับใครที่ยังไม่เห็นภาพให้ลองนึกย้อนไปถึงเวลาที่เราฝันแปลก ๆ ประมาณว่าปลอกกล้วยออกมาแล้วสิ่งที่อยู่ข้างในมันไม่ใช่กล้วยแต่ว่าเป็น iPhone อะไรประมาณนั้นแล้วคุณก็ตื่นขึ้นมาอีหยังวะกับตัวเองว่าคิดไปแบบนั้นได้ยังไง นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อจิตใต้สำนึกของคุณทำงาน เพราะถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ คุณจะต้องตกใจมากแน่ ๆ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นในความฝันที่เป็นการทำงานของจิตใต้สำนึกคุณกลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไร

             นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ความเชื่อบางอย่างดูไม่เป็นเหตุเป็นผลสักเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่กับแค่คนอื่นที่มองเข้าไป แต่ว่ากับตัวนายเอเองด้วย เพราะในสมองนายเอเข้าใจแจ้มแจ้งว่าหมาตัวเล็กแค่นี้จะทำอะไรได้ แต่ใจยังไงก็ยังกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้อยู่ดี

ความเชื่อ “ บิดเบือน “ ความเป็นจริง ?

             เมื่อแต่ละคนมีแว่นคนละอันกัน มีประสบการณ์คนละแบบกัน ความเชื่อที่มีก็ย่อมจะต่างกัน เพราะความจริงจะปรากฏตามสิ่งที่คุณเชื่อ เหมือนกับนายเอที่กลัวหมาแบบเอาเป็นเอาตาย เราทุกคนมีความเชื่อบางอย่างอยู่ในตัวที่ทำให้ความจริงของเราเปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอย่างบางคนที่เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับตำรวจ เวลาต้องไปบ้านเพื่อนที่คุณพ่อเป็นตำรวจก็อาจจะรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเสียอย่างงั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าคุณพ่อเพื่อนก็เอ็นดูและก็ดูแลเราเหมือนลูกคนหนึ่ง นั่นคือ “ ความจริง “ ของคนหนึ่งคนที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อนั่นเอง

 

             ซึ่งแน่นอนว่าความเชื่อก็ไม่ได้มีแค่ความกลัวอย่างเดียวเท่านั้น บางคนมีความเชื่อบางอย่างที่ขัดกับความต้องการของตัวเองเอามาก ๆ จนทำให้บางมุมในชีวิตของเขาดูน่าสงสารไปเลย คุณอาจจะเคยมีคนรู้จักบางคนที่ประสบความสำเร็จเอามาก ๆ แต่ว่าชีวิตรักช่างอาภัพเสียเหลือเกิน เจอหน้ากันกี่ทีก็เอาแต่บ่นเรื้องความรักให้ฟัง ผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะอยากได้สามีที่คอยดูแลเอาใจใส่ แต่ถึงเวลาคบกันจริง ๆ ไม่ว่าจะคนไหน ๆ ก็จะเจอแต่คนที่ต้องให้ผู้หญิงเลี้ยงดูเป็นแม่เสียอย่างงั้น หรือบางคนปากบอกว่าอยากจะได้ที่ทำงานดี ๆ แต่ไม่ว่าจะย้ายงานกี่ที ๆ ก็ดูจะมีปัญหาไปเสียทุกครั้ง บางคนอาจจะมองเรื่องพวกนี้ว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาที่กลั่นแกล้ง แต่จริง ๆ แล้ว “ ความเชื่อ “ ในส่วนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

             ความเชื่อที่ยกตัวอย่างให้เห็นข้างต้นเป็นความเชื่อแบบที่เข้าใจง่ายทั้งสาเหตุของประสบการณ์ และผลที่เกิดขึ้นตามมาในปัจจุบันแบบที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย อย่างตัวอย่างที่ว่า โดนหมากัด ก็เลยกลัวหมามาก ๆ แต่ก็ยังมีความเชื่อบางอย่างที่เกิดจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่ส่งผลกับความคิดและความเชื่อของตัวเองในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการจะเข้าใจและหาสาเหตุของความเชื่อเหล่านี้ได้จำเป็นจะต้องให้โค้ชผู้เชี่ยวชาญเป็นคนที่คอยปลดกลอนที่ละอันสองอัน แกะรอยความเชื่อและความคิดเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ถึงจะสามารถแก้ไขได้

             ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะมองว่าแค่เรื่องกลัวหมา เรื่องความรักก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรไหม ? แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องอื่นที่สำคัญกับชีวิตของคุณล่ะ ? ถ้าเป็นเรื่องการเงิน การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ การกล้าที่จะเผชิญกับความเสี่ยง ถ้าคุณมีความเชื่อบางอย่างที่ทำให้คุณไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ในชีวิตที่คุณต้องการได้มันถึงเวลาหรือยังที่คุณจะเริ่มจัดการกับความเชื่อของตัวเอง

          ตัวอย่างง่าย ๆ ของคนที่สร้างความเชื่อให้ตัวเองจนทำให้ความจริงและผลลัพธ์เปลี่ยนไป คุณลองจิตนาการดูว่าคุณจะต้องมีเพื่อนหรือคนรู้จัก หรือใครสักคนที่มั่นหน้าตัวเองมาก วัน ๆ จะเอาแต่พูดว่าฉันหล่อฉันสวยอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ในสายตาคุณ คุณก็ไม่ได้มองว่าพวกเขาสวยหรือหล่ออะไรเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะค่อย ๆ รู้สึกได้ว่า ไอ้คนที่มันเคยมั่นหน้าในตอนนั้น ตอนนี้มันดูดีขึ้นมาจริง ๆ เพราะเมื่อเราเชื่อบางอย่างมากพอ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง ๆ และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใดด้วย เพราะเมื่อเราเชื่อสิ่งไหน ระบบประมวลผลของเราก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่ล้อกับความเชื่อของเรา ถ้าเราเชื่อว่าเราสวยเราหล่อ เราก็จะมองเห็นแต่ของรอบตัวที่จะทำให้เราดูดีขึ้น เราจะเห็นเสื้อผ้าดี ๆ เราจะเห็นอุปกรณ์ดูแลตัวเอง ฯลฯ และสุดท้ายเราก็จะพาตัวเองไปทำกิจกรรมที่ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมาจริง ๆ

             ถ้าสังเกตดี ๆ คนที่ประสบความสำเร็จระดับสากลหลายคนมีวิธีการสร้างความเชื่อให้กับตัวเองที่ต่างกันออกไป นักกีฬา MMA ที่ชนะติดต่อกันมา 24 แมชท์รวดใส่เสื้อคลุมที่บอกว่า “ ชนะ 25 ครั้งรวด “ ก่อนขึ้นชก ก็เพื่อสร้างความเชื่อให้ตัวเอง สร้างภาพให้ตัวเองเห็นชัดเจนว่าการชนะ 25 ครั้งติดมันเป็นแบบไหน บางคนบอกว่าถ้าคุณมีรถในฝันที่อยากจะเป็นเจ้าของ ให้คุณลองไปนั่งดู ลองให้เวลาสั้น ๆ กับตัวเองนั่งแล้วจิตนาการว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของรถคันนี้คุณจะเป็นยังไงบ้าง คุณจะพารถในฝันของคุณไปไหน แล้วคุณจะได้มันมาจริง ๆ เพราะคุณจะกลับมาแล้วมองหาองค์ประกอบที่จะพาคุณไปหารถในฝันของคุณมากขึ้น

              ไม่ว่าคุณจะอยากใช้ชีวิตก็ตาม ให้ทำเหมือนคุณได้ใช้ชีวิตแบบนั้นด้วย ถ้าอยากสวยอยากหล่อก็จงเดินยืดอกอย่างมั่นใจ ถ้าอยากได้แชมป์ก็ต้องไม่กลัวที่จะประกาศว่าฉันจะเอาแชมป์ เพราะความเชื่อเป็นตัวกำหนดเส้นทางของชีวิตคุณ ถ้าคุณเปลี่ยนความเชื่อได้ ชีวิตคุณก็เปลี่ยนได้ ตอนนี้อาจจะถึงเวลาแล้วว่า มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คุณจะต้องเริ่มจัดการกับ “ ความเชื่อ “ ของตัวคุณเอง

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line : @LifeEnricher

Facebook: TheLifeEnricher

โทร: 02-017-2758, 094-686-6599

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า