
ความเชื่อ ที่กำลังทำให้ชีวิตคุณไม่ประสบ ความสำเร็จ
ในยุคโซเชียลปัจจุบันที่เราสามารถติดต่อสื่อสารและเข้าถึงผู้คนรอบตัวได้ ด้วยการคลิกหรือปัดโทรศัพท์ไม่กี่ครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคม เห็นพัฒนาการของคนรอบตัว เห็นการเติบโตของคนใกล้ชิด และเห็นความสำเร็จของคนในสังคม หลายคนที่มองเห็นเรื่องเหล่านี้ คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากว่าจะนำเรื่องราวการพัฒนาตัวเอง หรือความสำเร็จของคนอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ซึ่งเราอาจจะเคยมีประสบการณ์นี้มากันทุกคน เชื่อว่าถ้าหลาย ๆ คนเห็นพาดหัวข่าว “ หนูน้อยอายุ 7 ขวบ สร้างหุ่นยนต์บังคับตัวแรกของตัวเอง “ คงจะคิดไปตาม ๆ กันว่า “ สมัยฉัน 7 ขวบยังนั่งเล่นยางกับเพื่อนอยู่เลย “ แล้วยิ่งในโลกโซเชียล ก็ไม่ได้มีแต่ข่าวหนูน้อย 7 ชวบคนนี้เพียงคนเดียว ยังมีข่าวของผู้คนที่สำเร็จในเส้นทางของตัวเองอีกมากมาย บางคนสร้างรายได้มหาศาลให้กับตัวเองตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี บางคนสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม หรือบางคนที่ไม่ว่าคุณจะเห็นกี่ครั้ง ๆ ก็ทำแต่เรื่องที่ตัวเองชอบอยู่ตลอดเวลา อยากกินอะไรได้กิน อยากซื้ออะไรได้ซื้อ อยากเที่ยวที่ไหนก็ได้ไป
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าหากว่าคุณจะเอาความสำเร็จของคนเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ก็ในเมื่อคุณก็เป็นคนเหมือนกันกับพวกเขา เพราะอะไรถึงมีความแตกต่างเหล่านี้ บางครั้งก็อายุไล่เลี่ยกัน หรือว่าอยู่ในสายการทำงานเดียวกัน แต่ชีวิตของคุณกับพวกเขาบางทีก็ดูจะแตกต่างกันเสียเหลือเกิน ทำไมกันนะ “ ผลลัพธ์ “ ของเราถึงได้แตกต่างกันเช่นนี้
ความเหมือนที่แตกต่างของมนุษย์
เมื่อเรามองไปถึงผลลัพธ์ อย่างแรกที่หลายคนอาจจะคิดขึ้นมาในหัวเมื่อเห็นคนสำเร็จก็คือ “ ต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน “ บางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะ มีโอกาสในชีวิตมากกว่าคนอื่น ๆ นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ทำกำหนดให้ชะตาชีวิตของเราแตกต่างกันสินะ
ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธไม่ได้เต็มที่ว่าต้นทุนชีวิตที่เกิดมาเป็นปัจจัยที่ทำให้คนหนึ่งคนเข้าหาโอกาสได้มากกว่า แต่สิ่งที่เราจะโฟกัสกันจริง ๆ คือธรรมชาติของมนุษย์ที่มีเหมือนกันทุกคน ย้ำว่าเหมือนกันทุกคน แต่ในความเหมือนนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ และความแตกต่างนั้นคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเรา “ แตกต่าง “ กันโดยสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ “ มุมมอง “ นั่นเอง
มุมมอง คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกันทั้งหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่มุมมองของแต่ละคนที่มีต่อโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นแตกต่างกันออกไป และความแตกต่างนี้นี่แหละคือตัวแปรสำคัญให้ “ ชีวิต “ ของแต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่ว่ามุมมองที่พวกเขามีต่อชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตของพวกเขาก็จะเป็นไปตามมุมองของพวกเขาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น บางคนมองว่าตัวเองเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดี ป่วยบ่อยป่วยง่าย พวกเขาก็จะป่วยง่ายอย่างที่พวกเขาคิด และสิ่งที่คุณจะสังเกตได้ก็คือ พวกเขาจะค่อนข้างดื้อเวลาที่พวกตัดเตือนให้พวกเขาดูแลตัวเองเสียด้วย เตือนให้ทานยาก็ไม่ค่อยทาน ซ้ำยังชอบทานแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์อีกด้วย และในทางกลับกัน ก็จะมีคนที่มองว่าตัวเองสุขภาพดี แข็งแรง ซึ่งเราก็จะเห็นได้ทั่วไปกับผู้สูงอายุบางคนที่ดูไม่มีอายุเลย เราจะเห็นคุณลุงบางคนยังมีหุ่นฟิตเปรี๊ยะจนคนอายะน้อยยังต้องอาย หรือเรายังเห็นคุณป้าบางคนในงานวิ่งที่ทำเวลาได้ดีกว่าคนหนุ่มสาวอย่างเห็นได้ชัด และถึงแม้ว่าด้วยอายุเราก็ควรจะเรียกพวกเขาว่าคุณลุงคุณป้าได้อย่างไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่ถ้าเราได้เจอหน้าพวกเขาจริง ๆ เราก็จะอดเรียกพวกเขาว่า “ พี่ “ ไม่ได้ไปเสียอย่างนั้น ซึ่งมุมมองเหล่านี้ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องสุขภาพเท่านั้น ยังมีทั้งเรื่องความสำเร็จด้านหน้าที่การงานและการสร้างรายได้ หรือเรื่องชีวิตรักและการสร้างครอบครัว ฯลฯ
และสาเหตุที่มุมมองทำให้ชีวิตของเราแตกต่างกันไปก็คือ เมื่อเรามีมุมมองอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะเห็นแต่สิ่งที่เข้ากันกับมุมมองของเราเท่านั้น ถ้าคุณมองว่าตัวเองมีสุขภาพดี คุณจะเห็นแต่กิจกรรมที่ช่วยทำให้สุขภาพคุณแข็งแรง ถ้าคุณมองว่าการสร้างรายได้เป็นเรื่องง่าย คุณจะเห็นแต่เส้นทางการทำเงิน ถ้าคุณมองว่าชีวิตรักที่ดีเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็มีได้ คุณก็จะพาตัวเองเข้าไปเจอคนที่ใช่สำหรับคุณเอง แต่ในทางกลับกันถ้าหากว่าเรามองว่าเราเป็นคนสุขภาพไม่ดี เราจะเห็นแต่อุปสรรคในการดูแลตัวเอง ถ้าเรามองว่าเงินทองเป็นของหายาก เราก็จะเห็นแต่อุปสรรคในการสร้างรายได้ และถ้าเรามองว่าความรักดี ๆ เป็นเรื่องที่มีแต่ในนิยาย เราก็จะไม่มีวันมองเห็นคนที่เกิดมาเพื่อเราจริง ๆ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรมาบังตาเราไม่ได้มองเห็นสิ่งดี ๆ ในชีวิต ไม่ได้มีโชคชะตาที่มาเล่นตลกกับเราที่ทำให้บางคนมองเห็นสิ่งดี ๆ เต็มไปหมด ในขณะที่บางคนเห็นแต่อุปสรรค แต่เราเห็นสิ่งที่เราเห็น เพราะเรา “ เลือก “ ที่จะเห็นเองต่างหาก
สมองของคนเรารับสามารถรับข้อมูลรอบตัวได้ 11 ล้านบิทต่อ 1 วินาที แต่ด้วยกลไกของสมองเรา เราจะเลือกจดจำเพียงแค่ 126 บิท เท่านั้นเอง นั่นหมายความว่าความเป็นจริงของคุณ จะมีเพียงหยิบมือที่คุณเลือกเท่านั้น Workshop ที่คุณสามารถทำได้เล่น ๆ ก็คือ ถ้าคุณลองนึกถึงสีแดง แล้วมองไปรอบ ๆ ห้องคุณ หลังจากนั้นให้คุณหลับตาแล้วคิดถึงสิ่งของที่อยู่ในห้องคุณของให้ได้มากชิ้นที่สุด คุณจะสังเกตได้เลยว่าคุณจะนึกถึงสิ่งของที่มีสีแดงก่อนเป็นอันดับแรก ๆ แน่นอน

ความเชื่อ ธรรมชาติของมนุษย์
“ ความเชื่อ “ คือสิ่งที่มนุษย์ใช้เป็นตัวแปรในการกำหนดมุมมองของตัวเอง ภาพที่เห็น ความหมายที่เราตีความได้จากเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ ซึ่งความเชื่อนี้จะทำให้มุมมองของเราเป็นไปด้วยขั้นตอน 3 ขั้นตอนต่อไปนี้
- เหมารวม
ประสบการณ์ในอดีตบางอย่างที่ทำให้เราจำฝังใจ มักจะทิ้ง Keyword บางอย่างไว้กับจิตใต้สำนึกของเรา เช่น ถ้าหากว่าเราเคยเห็นเพื่อนเสียใจเพราะแฟนที่รับราชการของเขานอกใจ เราจะจำไปทันทีว่า ผู้ชายในเครื่องแบบเป็นคนเจ้าชู้ หรือว่าถ้าเราเคยเจอคนที่ตัดผมทรงสกินเฮด ตะโกนโวกเวกโวยวายผู้จาหยาบคาย เราอาจจะจำไปเองก็ได้ว่า คนที่ตัดผมทรงนี้ขี้โวยวาย พูดไม่เพราะ เป็นต้น ซึ่ง Keyword เหล่านี้จะทำให้เราไปตัดสินคนทุกคนที่มีองค์ประกอบเดียวกันกับ Keyword ของเรา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้รู้จักกับผู้ชายในเครื่องแบบทุกคน แต่เราก็จะมีภาพจำว่าคนในเครื่องแบบเป็นคนเจ้าชู้ และเช่นกันว่าเราก็ไม่ได้ไปรู้จักคนที่ตัดผมทรงสกินเฮดทุกคน แต่เราก็จะตัดสินว่าคนที่ตัดผมทรงนี้ขี้โวยวายพูดจาหหยาบคายทุกคน
- บิดเบือน
นอกจากจะเหมารวมแล้ว เราจะยังพยายามบิดเบือนความเป็นจริง ให้ตรงกับความเชื่อที่เรามีอีกด้วย จากตัวอย่างเดิมว่า ถ้าหากว่าเราเชื่อว่าคนในเครื่องแบบเป็นคนเจ้าชู้ ต่อให้เพื่อนเราเจอผู้ชายในเครื่องแบบที่เป็นคนซื่อสัตย์แค่ไหน ทันทีที่พวกเขาในพฤติกรรมน่าสงสัยขึ้นมา คุณก็จะบอกกับเพื่อนคุณทันทีว่า “ เห็นไหม น่าสงสัยแบบนี้ คิดไว้ไม่ผิดว่าคนในเครื่องแบบเป็นคนเจ้าชู้ “ หรือถ้าหากว่าเราเชื่อว่าคนที่ตัดผมทรงสกินเฮดเป็นคนหยาบคาย พูดจาเสียงดังโวยวาย ต่อให้คุณไปเจอผู้ชายที่ตัดผมทรงนี้ กำลังพูดด้วยเสียงดังเพราะว่าเขากำลังพยายามสื่อสารกับคนที่หูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ คุณก็จะบิดเบือนความคิดของคุณไปเองว่า “ พวกคนที่ไว้ผมทรงนี้ก็เสียงดังกันทุกคน “ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาไม่ใช่คนที่เสียงดังเลย
- ลบทิ้ง
นอกจากคุณจะเหมารวม และบิดเบือนแล้ว คุณยัง “ ลบ “ สิ่งที่ไม่ตรงกับความเชื่อของคุณ ออกไปอย่างสิ้นเชิงด้วย ยกตัวอย่างว่า ถ้าคุณเชื่อว่าคุณ “ สวย “ คุณก็จะแทบไม่ได้ยินคนที่คุณบอกว่าคุณไม่สวยเลย หรือถึงแม้ว่าคุณจะถูกพูดใส่หน้าจัง ๆ ว่า “ เธอมันไม่สวย “ เชื่อได้เลยว่า ไม่ถึง 10 นาทีหลังจากที่คุณได้ยินคำนั้น คุณก็จะลืมไปแล้วว่ามี่คนบอกว่าคุณไม่สวย แต่ในทางกลับกัน ถ้าเกิดว่าคุณเชื่อว่าคุณไม่ใช่คนมีสเน่ห์ เวลาที่มีคนมาชมคุณว่าคุณดูดี คุณก็จะคิดแค่ว่า “ เขาคงพูดเป็นมารยาท “ แล้วก็ปัดความจริงที่มีคนมองว่าคุณเป็นคนน่าดึงดูดทิ้งไปเสียแบบนั้น

ความเชื่อของแต่ละคนคงจะไม่ได้มีอยู่แค่การตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนในตัวอย่างที่ยกมาแน่นอน ไหนจะเรื่องการเงินและความสำเร็จ สุขภาพและความมั่นใจในตัวเอง ชีวิตและการสร้างความครัว และอีกมากมายเหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้น
ถ้าคุณเชื่อว่าเงินทองเป็นเรื่องหายาก คุณจะเริ่มเหมารวมว่า อาชีพทุกอาชีพจะไม่สามารถให้ค่าตอบแทนคุณในระดับที่คุณพอใจได้เลยไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหนก็ตาม และต่อให้มีคนมานำเสนอวิธีการทำธุรกิจหรือการหารายได้บางอย่างที่ให้ค่าตอบแทนได้ดี คุณจะเริ่มบิดเบือนด้วยการหาจุดที่จะทำให้ธุรกิจล้มเหลวออกมาพูดถึง และต่อให้คุณจะเห็นคนที่สำเร็จในธุรกิจนั้นจริง ๆ อีกไม่นานคุณก็จะลืมคนเหล่านั้นและหันไปมองคนที่ไปไม่ถึงฝันกับธุรกิจของพวกเขาแทน เพราะว่าคุณ “ เชื่อ “ อย่างนั้น
ย้ำอีกครั้งว่าน่าไม่ใช่โชคชะตาที่กำลังเล่นตลกกับคุณอยู่ แต่เป็นตัวคุณเองที่เลือกที่จะรับข้อมูล และประมวลผลในสิ่งที่คุณเชื่อเท่านั้น นี่คือความเหมือนที่แตกต่างในมนุษย์แต่ละคน ความเชื่อที่ดี มุมมองที่ดีจะเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายที่คุณต้องการได้ ดังนั้นตอนนี้คุณอาจจะต้องหันมาสังเกตตัวเองดี ๆ แล้วว่า คุณมีมุมมองกับเรื่องบางเรื่องเพราะอะไร และความเชื่อไหนที่ทำให้คุณมีมุมมองแบบนั้น เพื่อที่คุณจะได้ “ หลุด “ ออกจากจุดยืนเดิม และพาตัวเองไปหาความสำเร็จที่คุณค้นหาอยู่ก็เป็นได้
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599