Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.
... ความ ต้องการ ของมนุษย์ 6 แบบ
Six Human needs ...
ถ้าพูดถึง “ ความต้องการ “ สิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีก็จะเป็น ความ ต้องการ ที่เป็นเหมือนกับความโหยหาบางสิ่งบางอย่าง หรืออยากจะครอบครองบางสิ่งบางอย่าง บางคนอยากเลี้ยงหมา บางคนอยากซื้อมือถือใหม่ บางคนอยากได้คนนั้นคนนี้เป็นแฟน บางคนอยากไปเที่ยว แต่จริง ๆ แล้วความต้องการนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ทุกวัน ทุกเวลา เริ่มจากความต้องการง่าย ๆ ที่เราควบคุมร่างกายของตัวเอง เราต้องการหายใจ , เราต้องการขับถ่ายของเสีย , เราต้องการแสงเพื่อการมองเห็น หรือจะเป็นความต้องการเกี่ยวกับรสนิยมส่วนตัว บางคนชอบทานอาหารแบบนี้ บางคนชอบแต่งตัวแนวนี้ บางคนชอบฟังเพลงแบบนี้ เมื่อเราเติบโตมากขึ้นความต้องการของเราก็เริ่มซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นด้วย เช่น ตอนเด็ก ๆ คุณอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก อาจจะแค่อยากขับรถเพราะมันดูเท่ดี แต่พอตอนโตมาคุณกลับมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น คุณอาจจะอยากได้รถยี่ห้อนี้ รุ่นนี้ สีนี้ ฯลฯ และเมื่อคุณใช้ชีวิตอยู่นานขึ้น ความต้องการของคุณก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
แต่ถ้าคุณถูกถามว่า “ ชีวิตของคุณต้องการ ” อะไรจริง ๆ หรือ ชีวิตคุณมีความหมายอย่างไร หรือ คุณเกิดมาเพื่ออะไร นี่อาจจะเป็นคำถามที่ใครหลาย ๆ คนมองว่าเหมือนจะตอบง่าย แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วกลับหาคำตอบไม่ได้ง่าย ๆ อย่างที่คิด บางคนอาจจะตอบได้แต่นั่นก็อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของพวกเขาก็เป็นได้ แต่ถึงแม้ว่าเราอาจจะหาคำตอบสุดท้ายของชีวิตยังไม่ได้ก็ตาม คนเรากลับมีแรงผลักดันที่จะใช้ชีวิตต่อ มีแรงผลักดันที่จะสู้กับอุปสรรคในชีวิตต่อ คำถามต่อมาก็คือ แรงผลักดันนั้นมาจากไหน และมาได้อย่างไร เพราะถ้าหากวิเคราะห์ตามหลักแล้ว ถ้าทุกชีวิตไม่มีเป้าหมายก็มักจะไม่มีแรงในการขับเคลื่อน
Tonny Robbins ได้พูดถึงแรงผลักดัน 6 อย่างที่ทำให้มนุษย์เรามีแรงขับเคลื่อนที่เกิดจากความ “ ต้องการ “ เพราะเมื่อมนุษย์เราต้องการอะไรบางอย่าง เราจะขับเคลื่อนตัวเราเองเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายหรือสิ่งที่เรา “ ต้องการ “ จริง ๆ และแน่นอนว่าด้วยความแตกต่างของมนุษย์ทุกคน การกระทำ 1 การกระทำอาจจะถูกขับเคลื่อนมาด้วยความต้องการที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าคนสองคนกำลังมาเดินหาซื้อแอปเปิ้ลเหมือนกัน คนแรกออกมาเดินหาซื้อเพราะดันไปเห็นคนในโซเชียลโพสแอปเปิ้ลดูน่าอร่อย เลยต้องออกมาหามาตำกัน ส่วนอีกคนหนึ่งออกมาซื้อแอปเปิ้ลเพราะว่าน้องของตัวเองไม่สบาย เลยตั้งใจมาซื้อแอปเปิ้ลให้กิน นี่คือตัวอย่างของการกระทำที่เหมือนกันแต่มาจากแรงจูงใจหรือความต้องการที่แตกต่างกัน
เราอาจจะสามารถเข้าใจและรับรู้ความต้องการของตัวเองได้ แต่การจะเข้าใจคนอื่นนั้นคงจะไม่ง่ายเหมือนกับการคุยกับตัวเอง แต่ถึงจะบอกว่าไม่ง่ายก็ไม่ได้หมายความว่าการเข้าใจคนอื่นเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เพียงแค่คุณ “ ถาม “ คุณก็จะได้คำตอบที่จะทำให้คุณเอามาประเมินว่าความต้องการของพวกเขานั้น อยู่ในระดับไหน ซึ่งถ้าหากเราเข้าใจความต้องการ 6 ระดับดังต่อไปนี้แล้ว คุณจะสามารถใช้ทักษะและความเข้าใจเหล่านี้ในการเข้าใจคนรอบตัวที่อยู่ร่วมกันกับคุณได้ดีขึ้น การเข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร เพราะอะไร จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงและอยู่ร่วมกันกับคนรอบตัวได้ง่ายขึ้น
Certainty
ความต้องการความแน่นอน ความมั่นคง ความต้องการนี้เกินขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้ตัวเองมั่นใจว่าจะไม่เจอเรื่องที่ตัวเองไม่อยากเจอ เช่น เราต้องการที่จะมีรายได้ต่อเดือนมาก ๆ เพื่อที่จะได้ไม่กลับไปยากจนเหมือนที่เคยเป็นมา หรือว่าเราจะต้องออกกำลังกายและดูแลอย่างสม่ำเสมอ จะได้ไม่กลับไปอยู่ในร่างที่เราไม่พอใจอี
ความต้องการนี้จะเกิดจากแรงผลักดันในการพาตัวเองให้ออกมาห่างจากสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจะให้เกิดขึ้นที่สุด ไม่ว่าเจ้าเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีต หรือเป็นประสบการณ์ทางอ้อมที่ถูกบอกต่อมาอีกทีหนึ่งก็ตาม ซึ่งความต้องการความมั่นคงนี้จะไม่ได้มีเกี่ยวกับการเงินเท่านั้น แต่มีผลกับอารมณ์และความรู้สึกทุกรูปแบบ เช่น คุณต้องการว่ามั่นคงทางอารมณ์ คุณอยากจะใจเย็น อยากจะสงบสุขุม เพราะคุณไม่อยากกลับไปอารมณ์ร้อน อารมณ์ขึ้นทีไรแล้วปวดหัวตลอด คุณไม่ชอบปวดหัว คุณไม่อยากปวดหัว หรือคุณต้องการให้แม่คุณทำอาหารทุกมื้อ เพราะคุณไม่อยากจะกินอาหารตามร้านที่รสชาติไม่ถูกปาก เป็นต้น
ถ้าคุณสัมผัสได้ว่าใครบางคน กำลังขวนขวายหาอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นหลักประกันว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องเจอกับอะไรบางอย่างอยู่ นั่นความหมายว่าพวกเขากำลังต้องการความมั่นคงให้กับตัวเองอยู่
ความ ต้องการ Uncertainty / Variety
เมื่อเราได้ความมั่นคงให้กับตัวเองแล้ว ความมั่นคงนั้นอาจจะทำให้ชีวิตคุณจืดชืดเกินไป มนุษย์เราต้องการสีสันให้ชีวิต ต้องการความตื่นเต้น แปลกใหม่ นั่นทำให้เกิดแรงผลักดันแบบที่สองขึ้นมานั่นคือ ความต้องการความหลากหลายให้ชีวิต
ตัวอย่างง่าย ๆ เลยก็คือ ตอนนี้ชีวิตเราอยู่ในยุคสมัยที่เงียบสงบ ไม่ได้มีการเอาตัวรอดในเชิงที่ต้องเอาชีวิตรอดในป่าเขา เอาชีวิจรอดจากสัตว์ที่เป็นผู้ล่าเหมือนคนยุคก่อน สิ่งที่เกิดชึ้นกับเราก็คือ เราต้องการความตื่นเต้น เราต้องการความตื่นตนตื่นใจ นั่นเลยเป็นสาเหตุว่า ทำไมคนกลุ่มใหญ่ถึงยอมจ่ายเงินไปทำเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกหวาดเสียว ไปนั่งรถไฟเหาะตามสวนสนุก ไปดำน้ำในที่แปลก ๆ ไปกระโดดร่มหรือกระโดดบันจี้จั๊ม บางคนมีความต้องการสีสัน ต้องการความตื่นเต้นและแปลกใหม่ จนยอมให้ตัวเองทำเรื่องที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรจะทำอย่างการนอกใจคนรักก็มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับความต้องการประเภทนี้ก็คือ เริ่มมีธุรกิจที่หารายได้จากความต้องการความไม่แน่นอนลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่เราจะพบเจอกันได้มากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การขายกล่องสุ่มที่ร้านจะกำหนดราคาเอาไว้ว่ากล่องสุ่มกล่องนี้จะราคา xxx บาท และจะสินค้าที่มีมูลค่าเท่ากับราคาที่ตั้งเอาไว้หรืออาจจะมากกว่าอยู่ในกล่องสุ่มนี้แน่นอน แต่ผู้ซื้อหรือว่าลูกค้าจะไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นอะไรบ้าง ซึ่งถ้ายังไม่เข้าใจความต้องการด้านนี้ก็อาจจะงงไปเลยก็ได้ ไหน ๆ จะจ่ายเงินทั้งทีไม่เลือกซื้อของที่ตัวเองอยากได้ไปเลยล่ะ ? แต่กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้ซื้อสินค้ากับธุรกิจเหล่านี้เพียงอย่างเดียว พวกเขายังซื้อความตื่นเต้นที่จะได้ลุ้นว่าสินค้าที่พวกเขาจะได้รับจะเป็นอะไรบ้าง
โดยส่วนมากแล้วความต้องการนี้จะตามมาหลักจากที่ได้ความมั่นคงมาก่อนแล้ว เพราะถ้าหากว่ายังมีเรื่องที่เราอยากจะหลีกหนีอยู่ เราอยากจะออกห่างอยู่ เราอาจจะไม่มีอารมณ์ไปนั่งคิดถึงความแปลกใหม่ในชีวิตได้ เหมือนกับว่าถ้าเรากำลังวิ่งหนีตายของสิงโตอยู่ เราคงจะไม่มีเวลาไปหาอาหารใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยกินหรอก จริงไหม ?
ความ ต้องการ Significant
เมื่อเรามั่นคงกับตัวเองว่าจะไม่เจอสิ่งที่ไม่อยากเจอแล้ว เราเติบสีสันด้วยความหลากหลายให้ชีวิตแล้ว ความต้องการต่อมาก็อาจจะเป็นความต้องการที่จะถูกยอมรับจากผู้อื่นก็ได้ นี่คือจุดที่ความต้องการไม่ได้อยู่กับความพึงพอใจของตัวเองแล้ว แต่จะเริ่มเกี่ยวเนื่องกับผู้คนรอบตัว
ซึ่งความต้องการเหล่านี้ก็จะเห็นได้ในหลาย ๆ พื้นที่ เช่น องค์กรส่วนใหญ่ก็จะมีระบบการประเมินว่าพนักงานคนไหนทำงานได้ดีเด่นที่สุดในเดือนนั้น ๆ เกิดเป็นระบบ Employee of the month ขึ้นมาหรือบางคนอยากจะถูกยอมรับในองค์ความรู้ที่ตัวเองมี ก็เลยพาตัวเองไปเรียน หรือไปสอบวัดระดับตามสถาบันที่ได้รับการยอมรับในสังคมเพื่อเอาใบประกาศมายืนยันความสามารถของตัวเอง หรือจะเป็นการโพสในสื่อโซเชียลของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้ก็เป็นได้
ความ ต้องการ Love & Connection
ความต้องการความรัก ต้องการความผูกพันธ์ ความต้องการนี้จะแตกต่างกับระดับที่แล้วที่ต้องการเพียงแค่การยอมรับ ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วก็เหมือนกับว่าถ้าเราต้องการการยอมรับ เราถูกคนตรงหน้าชื่นชมและยอมรับในผลลัพธ์ที่เราสร้างได้ นั่นคือเราบรรลุความต้องการนั้นแล้ว แต่ความต้องการความรักและความผูกพันธ์จะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งความต้องการระดับนี้จะเกิดขึ้นอยู่กับคนใกล้ตัวมาก ๆ เช่น พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ พี่น้อง สามีภรรยา คนรักของตัวเอง เพื่อนสนิท หรือจะเป็นลูกหลานก็ตาม
ความต้องการเหล่านี้จะผลักดันที่เราทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คนสำคัญที่เราอยากจะให้ความรักแก่เขาได้ประโยชน์จากผลลัพธ์บางอย่างโดยที่หวังความรักจากเขากลับมาเช่นกัน เช่น การตั้งใจทำงานหารายได้มาก ๆ มาเลี้ยงดูพ่อกับแม่ เพราะเราต้องการจะตอบแทนกับสิ่งที่พวกเขาทำให้เรามาตลอดทั้งชีวิต เป็นต้น
ความ ต้องการ Growth
หลังจากที่มีความต้องการให้กับตัวเองแล้ว มีความต้องการที่เกี่ยวกับการได้รับความรู้สึกบางอย่างจากคนรอบตัวแล้ว ความต้องการต่อไปที่ถูกพูดถึงจะเป็นความต้องการที่อยู่เหนือการเอาชีวิตรอดของมนุษย์แล้ว ความต้องการนี้คือความต้องการที่จะเติบโตในชีวิต ต้องการจะเห็นชีวิตของตัวเองพัฒนาขึ้นกว่าเดิม
ถ้าหากว่าเราไม่ถามและฟังคำตอบจากคนตรงหน้า เราจะไม่สามารถประเมินได้เลยว่าเขากำลังมีความต้องการในระดับนี้อยู่ ส่วนใหญ่เมื่อคนเราต้องการที่จะพัฒนาบางสิ่งบางอย่างมักจะถูกขับเคลื่อนมาด้วยความต้องการ 4 ดับข้างต้นเสมอ เช่น อยากทำอาหารเก่งขึ้น สามีจะได้รักจะได้หลง , อยากจะเรียนให้ดีขึ้น พ่อแม่จะได้ชื่นใจ , อยากจะโต้คลื่นให้ได้เก่งขึ้น จะไปไปเล่นโต้คลื่นในที่ใหม่ ๆ ที่ตื่นเต้นกว่าเดิมได้
แต่ความต้องการในการเติบโต ไม่ได้มีอะไรมาผลักดันเลยนอกจากความต้องการที่จะพัฒนาในด้านนั้น ถ้าอยากทำอาหารเก่งขึ้น ก็เพราะว่าอยากจะทำอาหารเก่งขึ้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น , หรืออยากจะทำให้ธุรกิจโตขึ้น ก็เพราะว่าอยากจะให้ธุรกิจโตขึ้น ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น ไม่มีความอยากจะมั่นคงในอาชีพ หรืออยากจะทำให้คนอื่นประทับใจ แค่อยากจะให้ธุรกิจโตขึ้นเฉย ๆ เพราะแรงจูงใจนี้เป็นแรงจูงใจที่อยากจะเห็นตัวเองพัฒนาขึ้น เติบโตมากขึ้น ได้ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว

Contribution
มาถึงระดับสุดท้ายแล้ว ส่วนใหญ่ความต้องการและแรงจูงใจนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคนเราสามารถตอบความต้องการทั้ง 5 ข้อที่ผ่านมาได้ทั้งหมด เราได้ความมั่นคง เราได้ความตื่นเต้น ได้การยอมรับ ได้รับความรัก และได้เห็นชีวิตตัวเองพัฒนา สิ่งต่อมาที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราอยากจะให้คนรอบข้างได้สัมผัสกับประสบการณ์เหล่านั้นเหมือนกับที่เราได้สัมผัส
เราจะเริ่มมีความต้องการที่จะ “ ให้ “ ในตอนที่เราสามารถตอบความต้องการของตัวเองได้ครบทั้งหมดแล้ว ถ้าเปรียบเทียบว่าตัวเราเป็นแก้วน้ำ ถ้าเรายังเติมน้ำในแก้วนี้ไม่เติม น้ำนั้นก็คงจะไม่สามารถล้นออกไปหาคนรอบ ๆ ข้างได้จริงไหม ? เราจะสังเกตคนกลุ่มนี้ได้ง่าย ๆ ก็ลองมองดูคนที่มีชื่อสัยงในสังคม พวกเขามีทั้งความมั่นคง มีความหลากหลาย ได้รับความรักและการยอมรับ แถมยังพัฒนาอยู่เรื่อย ๆ สิ่งที่คุณเห็นก็คือพวกเขาจะเริ่ม “ ให้ “ กับสังคม คุณจะเริ่มเห็นคนสำเร็จที่ออกมาทำอะไรเพื่อสังคมโดยที่ไม่หวังผลประโยชน์ หรือคุณอาจจะสังเกตเห็นเพื่อนสนิทใกล้ตัวที่พร้อมจะ “ ให้ “ พร้อมที่จะหยิบยื่นอะไรบางอย่างให้กับคนรอบตัวเสมอ
สุดท้ายนี้สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณรับรู้ได้ว่า คนตรงหน้าของคุณกำลังมีความต้องการแบบไหนอยู่ คงจะไม่มีอะไรมีประสิทธิภาพไปมากกว่าการถามแน่นอน เพราะถ้าคุณจะต้องตัดสินใจหรือสังเกตเองโดยที่ไม่ได้ฟังจากเจ้าตัว ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการเดาเลย ดังนั้นคุณจำเป็นจะต้องใช้คำถามกับคนตรงหน้า ถ้าหากว่าคุณอยากจะเข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599