Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

จัดการกับตัวเองอย่างไรในวันแย่ ๆ
“ Bad day “ หรือ “ วันแย่ ๆ “ น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเจออยู่ในชีวิตประจำวัน บางช่วงก็เจอถี่หน่อย บางช่วงจะหายไปเลยก็มี แต่ด้วยวิกฤตการณ์ปัจจุบันก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายคนอาจจะกำลังอยู่ในวังวนของ “ วันแย่ ๆ “ อยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องประเด็นการเมืองที่กำลังถกเถียงกันให้เห็นในสื่อโซเชียล พ่วงมาด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบมาจากปัญหาโรคระบาดที่พวกเราต่อสู้กับมันมีเป็นปี หลายคนต้องเปลี่ยนเส้นทางการเลี้ยงดูชีวิตของตัวเอง ดิ้นรนหาหนทางในการสร้างรายได้ให้ตัวเอง บางคนปรับตัวได้ แต่ก็มีบางคนที่ตอนนี้ยังปรับตัวไม่ไหวแล้วปัญหารอบตัวก็ดูช่างรุมเร้าเหลือเกิน
ที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะดูเป็นปัญหาที่เป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลกระทบต่อชีวิตแบบชัดเจน แต่ก็ยังมีปัญหาที่หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเป็น “ ปัญหาเล็ก ๆ “ อยู่ เช่น บางคนอาจจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงิน แต่รู้สึกหดหู่ที่ไม่ได้ออกจากบ้าน ไม่ได้เข้าสังคม แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถออกมาพูดถึงปัญหาของตัวเองได้เลย เพราะอาจจะถูกตีกลับมาว่า “ ไม่ลำบากจริง ไม่ต้องออกมางอแงหรอก “ ก็ได้ แต่ถ้าสำหรับคุณแล้วนั่นคือปัญหา ก็คงจะไม่ผิดอะไรถ้าคุณจะออกมาขวนขวายหาวิธีแก้ปัญหาของตัวคุณเอง เพราะเราทุกคน “ เป็นคนไม่เหมือนกัน “ ดังนั้น ถ้าปัญหาของแต่ละคนจะ “ ไม่เหมือนกัน “ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร จริงไหม ?
หลายคนที่อ่านแล้วก็พยักหน้าไปพลางพร้อมกับคิดว่า “ ใช่ ตอนนี้ฉันกำลังเป็นแบบนี้อยู่เลย “ อาจจะกำลังอยู่ในความคิดที่ว่า “ เมื่อไหร่ปัญหาจะหมดไปสักที “ ขอตอบตรงนี้เลยว่า ปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ยังไงก็จะจบไปอย่างแน่นอน ไม่มีปัญหาไหนไม่มีทางแก้ แค่เราในตอนนี้จะเห็นทางแก้หรือเปล่า แค่นั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม “ ปํญหา “ จะไม่มีวันหมดไปจากชีวิตคุณแน่นอน เมื่อปัญหาเก่าหมด ปัญหาใหม่ก็จ่อรอจะเกิดอยู่ทุกวัน ยิ่งคุณพัฒนา คุณก็จะยิ่งเจอปัญหาที่ท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งความสำเร็จของคุณยิ่งใหญ่แค่ไหน ปัญหาที่คุณอาจจะต้องเจอก็จะใหญ่ตามความสำเร็จของคุณไปด้วย
ดังนั้นแกนหลักของการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ คงจะไม่ใช่การหาวิธีการแก้ปัญหาเป็นครั้ง ๆ ไปแล้วหวังว่าปัญหาจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่การจัดการกับปัญหาที่จะทำให้คุณไม่รู้สึกแย่ทุกครั้งที่เจอปัญหา คือการทำให้ตัวคุณ “ ใหญ่กว่าปัญหา “
คุณกับปัญหา ใครใหญ่กว่ากัน ?
ลองคิดย้อนกลับไปสมัยเด็ก ๆ ดู เมื่อก่อนปัญหาใหญ่ที่สุดที่หลายคนเจอในช่วงวัยเด็กก็คือ เลือดออก ในตอนนั้นพวกเราหลายคนอาจจะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจปัญหารอบตัวหลายอย่างที่เกิดขึ้น แต่อย่างหนึ่งที่เด็กเข้าใจร่วมกันก็คือ เลือดออก เนี่ยแหล่ะ เพราะในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเล่นแกล้งกัน ทั้งตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ถ้าเลือดออกไม่ว่าจะออกเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียนบาดนิ้ว , ล้มเข่าถลอก หรือแม้กระทั่งเลือกกำเดาไหล ขอแค่มีเลือดไหลออกมานั่นจะเป็นปัญหาขอคาดบาดตายทันที เพราะตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเราควรจะต้องจัดการยังไง จะต้องทำยังไง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เลือดออก
แต่ทำไมเมื่อเวลาผ่านไป เราเติบโตขึ้น การเลือดออกถึงไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เท่าเดิมแล้ว แน่นอนว่าบางคนที่ไม่ค่อยจะถูกกับเลือดเท่าไหร่ก็อาจจะยังเป็นปัญหาอยู่ในระดับหนึ่ง แต่หลาย ๆ คนอาจจะมองเป็นเรื่องปกติจนไม่คิดว่าเป็นปัญหาของชีวิตไปแล้ว บางคนเห็นเลือดแล้วก็แค่รู้สึกรำคาญที่ต้องมานั่งทำแผล บางคนเห็นแผลถลอกเลือดออกก็กลับปล่อยไว้เฉย ๆ เสียอย่างงั้น บางคนถึงขนาดนั่งเลียแผลกันเลยก็มี ซึ่งลองมาคิดดูว่า จริง ๆ ปัญหาเลือดออกเนี่ย มันก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ที่ต้องใช้วิธีแก้ปัญหาให้ถูกวิธีนะ แผลจะได้ไม่ติดเชื้อ แต่หลายคนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้ขนาดนั้น เพราะมันเป็นปัญหาที่เล็กน้อยมาก จนแทบจะไม่มีเวลามาสนใจเลยด้วยซ้ำ
“นั่นแสดงว่า พวกคุณเคยผ่านจุดที่เห็นว่า ปัญหาบางอย่าง มันไม่ใช่ปัญหา มาเรียบร้อยแล้วแล้ว”
แน่นอนว่าปัญหาที่คุณกำลังประสบอยู่ในตอนนี้ มองยังไงก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเหมือนกับการเลือดออกแน่นอน เพราะคุณในตอนนี้อาจจะกำลัง “ เลือดออก ” ในอีกบริบทหนึ่งอยู่ และแน่นอนว่า ปัญหาที่คุณกำลังเจออยู่ อาจจะต้องการคำปรึกษาหรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่เคยผ่านปัญหาแบบเดียวกันมาก่อน ดังนั้นบทความนี้จะไม่สามารถบอกวิธีการแก้ปัญหาของคุณอย่างตรงจุดแน่นอน แต่ไม่ว่า Hard skills หรือความถนัดเฉพาะด้านที่คุณต้องใช้ในตอนนี้จะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เชื่อได้เลยว่าคุณจะไม่สามารถงัดเอาศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ลุยกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่แน่นอน

ทัศนคติในการรับมือปัญหา
อย่างที่ยกตัวอย่างไปเบื้องต้น สิ่งที่ทำให้ปัญหาเดิมที่เคยใหญ่มาก ๆ ในสายตาของเรา เมื่อเวลาผ่านไปปัญหาเดิม ๆ นั้นจะไม่มีผลกระทบกับคุณเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะว่า “ ทัศนคติ “ ในการจัดการกับปัญหาของคุณ เปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง
ทัศนคติที่ดี คือคำตอบของข้อสงสัยว่า ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จถึงสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้เสมอ ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นอาจจะกำลังเจอกับปัญหาที่ดูใหญ่และน่าเป็นห่วงมากกว่าที่เราเจอตั้งเยอะ แล้วทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงเผชิญ และก้าวผ่านปัญหาทั้งหมดนั่นไปได้เหมือนพวกเขาเป็นเครื่องจักรในการแก้ปํญหาอะไรอย่างนั้น คุณคิดว่า Bill gates จะต้องเจอปัญหามามากแค่ไหนก่อนที่จะเขียนระบบปฏิบัติการนี้ออกมาขายออกมาให้พวกเราใช้กันจนถึงทุกวันนี้ หรือคุณลองคิดดูว่า Elon musk จะต้องปวดหัวกับโปรเจคดาวอังคารของเขาแค่ไหนในแต่ละวัน ถ้าพวกเขาเหล่านั้นสามารถจัดการกับปัญหาที่พวกเขามีด้วยทรัพยากรที่พวกเขามีได้ คุณเอง ก็สามารถจัดการกับปัญหาที่คุณกำลังเจออยู่ ด้วยทรัพยากรที่คุณมีอยู่ได้เหมือนกัน
แล้วทัศนคติที่ดี เป็นอย่างไร ?
เรื่องง่ายที่สุดที่ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว แต่เมื่อเจอปัญหารุมเข้ามา อาจจะมองข้ามเรื่องนี้ไปเลยก็ได้ เรื่อง “ ง่าย ๆ “ ที่ว่านี้ก็คือ ปัญหาทุกอย่าง กำลังสอนอะไรบางอย่างกับคุณอยู่เสมอ ซึ่งประโยคนี้ อาจจะไม่ประโยคที่ใหม่อะไรเลยสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่เรื่องน่าเสียดายบางอย่างก็คือ หลายคนเข้าใจว่า คุณจะเรียนรู้จากปัญหาเหล่านั้นไปได้ หลังจากที่คุณแก้ปัญหาเหล่านั้นไปได้แล้ว ซึ่งความเชื่อนี้จะปิดประตูในการเรียนรู้ของคุณ ในระหว่างที่คุณกำลังจัดการกับปัญหาเหล่านั้นทันที เพราะฉะนั้น ทัศนคติที่ดีในการจัดการกับปัญหา คือ การมองปัญหาเป็นโอกาสในการเรียนรู้
แต่ก่อนที่จะมองว่าปัญหาเป็นโอกาสในการเรียนรู้ได้ สิ่งแรกที่เราจะต้องควบคุมให้ได้ก็คือ “ อารมณ์ “ ของคุณเอง เพราะอารมณ์เหล่านี้จะพุ่งขึ้นมาในชนิดที่ว่าคุณตามมันไม่ทันเลย แล้วเมื่อคุณรู้ตัวอีกที คุณจะพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์เหล่านั้นเสียแล้ว และวิธีการที่จะทันอารมณ์ของตัวเองได้ดีอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อคุณรู้ตัวว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอารมณ์เหล่านั้นอยู่ นั่นเป็นสัญญาณเตือนให้คุณ หยุดสักครู่ และออกมานั่งสื่อสารกับตัวเองดูว่า อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และอารมณ์เหล่านี้กำลังบอกอะไรกับเราอยู่
เพราะสมองของคนเรา ฉลาดในการดูแลและเอาชีวิตรอดแบบสุด ๆ ถึงขนาดที่ว่าสามารถสร้างระบบป้องกันตัวที่คอยแจ้งสัญญาณเตือนภัยกับสิ่งที่เป็นปัญหาและอันตรายต่อตัวเราได้แบบรวดเร็ว เร็วจนบ่อยครั้ง สติของเราตามสัญญาณเหล่านั้นไม่ทันด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเราจึงจะเป็นจะต้องฝึกสติให้ทันกับสัญญาณเตือนภัยที่มาในรูปแบบของ “ อารมณ์ “ เหล่านี้ ซึ่งในบทความนี้อาจจะไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดนัก ใครที่สนใจการรู้เท่าทัน สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อ “ การควบคุมอารมณ์ ในสภาวะที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงด้วย Cognitive Behavioral Therapy “ และเมื่อเราสามารถเข้าใจอารมณ์ของเราเองได้ เราเป็นสัญญาณเตือนภัยบางอย่างที่สมองเรากำลังพยายามสื่อสารกับเราอยู่แล้ว เราจะมีสติในการมองปัญหาในมุมที่ต่างออกไปได้ง่ายขึ้น

เรียนด้วยปัญหา โตด้วยปัญหา
เมื่อคุณได้สติกลับคืนมาแล้ว คุณจะรับรู้ได้ทันทีว่า ทุกอย่างบนโลกนี้มีสองด้านเสมอ ไม่มีอะไรบนโลกที่ดีพร้อมทุกด้านจนหาข้อติไม่ได้ และในขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรที่เลวร้ายจนหาข้อดีไม่ได้เช่นกัน ทุกอย่างล้วนมีขาวมีดำปะปนกันไป แต่ในบางครั้งด้านใดด้านหนึ่งอาจจะดูเยอะจนหลอกสายตาคุณว่าอีกสีหนึ่งมันไม่มีเลยก็เป็นได้ บางครั้งบางอย่างดูดีขาวสะอาดไปเสียหมดจนทำให้คุณมองข้ามจุดดำ ๆ ไปได้ บางอย่างที่ดำมืดก็มีแสงสว่างรอให้คุณคว้าไว้ให้ได้เหมือนกัน ดังนั้นข้อความสำคัญของความจริงที่พูดถึงนี้ก็คือ คนที่จัดการกับปัญหาได้ดี คือคนที่มองเห็นประโยชน์ในสิ่งที่หลายคนไม่เห็นว่ามีประโยชน์
หลายคนบอกว่าไม่อยากเจอปัญหา แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะเรียนรู้ และจะเติบโตได้ก็ต้องผ่านปัญหา ผ่านประสบการณ์ นั่นเป็นเพราะว่านั่นอาจจะเป็นเพราะว่า คุณอาจจะยังมีบางอย่างเหนี่ยวรั้งคุณไว้อยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรเลย เพราะการจัดการกับปัญหายังไงก็ใช้พลังงานและทรัพยากรของคุณอยู่แล้ว คุณจะรู้สึกเหนื่อยก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และเมื่อรู้สึกเหนื่อยมากเข้าก็ย่อมจะรู้สึกอยากหลุดออกจากความเหนื่อยนี้เป็นธรรมดา เหมือนกันคนที่พยายามจะออกกำลังกาย ตอนออกกำลังกายก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ตอนที่กำลังออกแรงอยู่เยอะ ๆ ก็อาจจะเคยคิดอยู่หลายที่ว่า “ พอแล้ว ฉันจะไม่เอาแล้ว จะไม่ทำแล้ว “ แต่ถ้าคุณอยากจะได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการมากพอ คุณจะพบว่า คุณก็จะพาตัวเองกลับมา “ เหนื่อย ” อีกครั้ง เพราะคุณต้องการผลลัพธ์ที่คุณอยากได้
กับปัญหาก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเหนื่อยอย่างไร คุณก็ยังพยายามแก้ปัญหา พยายามกัดฟันสู้กับมันต่อไป เพราะว่าคุณในตอนนี้ อาจจะกำลังอยากได้ผลลัพธ์อะไรบางอย่างจนทำให้คุณไม่อยากจะยอมแพ้กับมันอยู่ได้ และถ้าคุณสามารถดึงสติตัวเองกลับมา พยายามเปลี่ยนมุมมองในหลาย ๆ มุมมองดู คุณก็จะสามารถเห็นส่วนสีขาวในภาพสีดำมืดนั้นได้เหมือนกัน ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าปัญหาแล้ว มีข่าวดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ปัญหา 1 ข้อ คุณจะรู้สึกว่าคุณต้อง “ หาวิธีแก้ปัญหา “ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น ปัญหาข้อนั้นจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะ การเลือดออกครั้งนี้ เมื่อคุณสมานแผลได้แล้ว เลือดจะซึมออกมาอีกกี่ครั้งคุณก็จะจัดการกับมันได้เหมือนกันกับที่คุณในตอนนี้ จัดการกับการเลือดออกสมัยเด็กของคุณได้นั่นแหละ
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599