จิตวิทยาลับ ๆ ของการได้รับ “ อ้อมกอด ”

         ด้วยสัญชาติญาณของการเป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เรามีการสื่อสารเป็นองค์ประกอบสำคัญ มนุษย์เราสื่อสารกันเพื่อทำความเข้าใจกัน มนุษย์เราสื่อสารกันเพื่อทำงานร่วมกัน มนุษย์เราสื่อสารกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กัน สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตสายพันธ์อื่นในแง่ของการสื่อสารก็คือ การสื่อสารกับด้วยการใช้ภาษาเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร ซึ่งในปัจจุบันในโลกเรามีภาษาที่ใช้สื่อสารกันมากกว่า 7,100 ภาษา แต่อย่างไรก็ตาม การสื่อสารไม่ได้จบด้วยการใช้ภาษาเพียงอย่างเดียว คนสองคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกันสามารถเข้าใจกันได้ระดับหนึ่งผ่านการใช้ภาษากาย ผู้ใหญ่สามารถสื่อสารกับเด็กที่ยังไม่เคยเรียนรู้ภาษามาก่อนได้ผ่านทางภาษากายเช่นเดียวกัน ซึ่งการแสดงออกผ่านภาษากายนี้ก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้า การวางตัวของร่างกาย หรือแม้กระทั่งการสัมผัสก็ตาม

          หลายคนอาจจะพอเข้าใจถึงเรื่องการแสดงสีหน้าหรือการวางตัวในแง่ของการสื่อสาร แต่อาจจะยังสงสัยกับการสื่อสารด้วยการสัมผัส ถ้าลองสังเกตดี ๆ ในบทสนทนาหนึ่งบทสนทนามีการสัมผัสหรือถูกเนื้อต้องตัวมากกว่าที่คุณคิด เริ่มด้วยการทำความรู้จัก ในสากลโลกบทสนทนาส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยการจับมือเป็นการทำความรู้จักกัน เวลาที่ต้องการให้กำลังใจกันส่วนใหญ่ก็จะแตะบ่ากันเบา ๆ และอีกหนึ่งภาษาสัมผัสที่คนเราใช้กันอย่างกว้างขวางและทรงพลังมากกว่าที่คุณคิดก็คือ “ การกอด ” นั่นเอง

สื่อสารด้วย “ อ้อมกอด ”

             เมื่อพูดถึงอ้อมกอด ทุกคนคงจะมีประสบการณ์ที่ดีจากการถูกกอดกันมาไม่น้อย ตั้งแต่วัยทารกจนวัยรุ่นที่เติบโตขึ้นมาในอ้อมกอดของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง กอดจากเพื่อนฝูงที่สนิทสนม กอดจากคนรัก แล้วก็วนมาที่การกอดบุตรหลานของตัวเองเป็นวงจรต่อไป

             การกอดเป็นการสื่อสารที่เรียกว่าแทบจะทุกคนรู้จักกับการกอดโดยที่ไม่ต้องสอนกันว่า การกอดเป็นอย่างไร ต้องทำอย่างไร ทุกคนเข้าใจว่าการกอดหมายถึงอะไร และการกอดรู้สึกอย่างไร แต่เคยคิดไหมว่าทำไม การกอดถึงได้รู้สึกดีกว่าการสัมผัสร่างกายรูปแบบอื่นอย่างมีนัยยะ

             ลองถามตัวเองดูว่าการได้กินอาหารที่ชอบคุณรู้สึกอย่างไร การกอดจากคนที่ใช่ ให้ความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นกับคุณนั่นแหละ เพราะสมองส่วนที่บอกเราว่าเรากำลังมีความสุข ถูกกระตุ้นได้จากอาหารจานโปรด และอ้อมกอดนั่นเอง อ้อมกอดจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายลงอย่างน่าพิศวง เพราะนั่นเป็นสัญชาติญาณตั้งแต่สมัยโบราณที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของพวกเราเกือบทุกคน ในอดีตที่เรายังต้องเอาตัวรอดจากผู้ล่าในป่า มนุษย์เราต้องพบเจอและต่อสู้กับความเครียดที่จะต้องเอาชีวิตรอดอยู่ที่ชั่วขณะ การกอดกันในอดีตคือการปกป้องกันและกัน การกอดทำให้รู้สึกว่าเราอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยและอบอุ่นในโลกที่ต้องต่อสู้ ซึ่งในปัจจุบันความเครียดก็ยังคงมีอยู่ในชีวิตประจำวัน แค่ไม่ได้มาจากการถูกล่าเหมือนเดิม แต่อาจจะมาจากสาเหตุอื่นเช่น ความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ความกดดันรอบช้าง สภาพสังคม ฯลฯ แต่ไม่ว่าเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความเครียดจะแตกต่างจากเดิมก็ตาม การกอดก็ยังคงให้ความรู้สึกปลอดภัย และอบอุ่นเหมือนเดิม

           แล้วทำไมการกอดจึงถือว่าเป็นการสื่อสาร ? ก็เพราะว่าการกอดไม่สามารถทำได้กับทุกคน ถึงแม้ว่าการกอดจะให้ความหมายดีแค่ไหนก็ตาม การกอดจะเกิดขึ้นด้วยต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายยินยอมตรงกัน ถ้าการกอดเกิดจากความต้องการของฝ่ายเดียวในขณะที่อีกฝ่ายต่อต้าน นั่นเป็นการคุกคามขืนใจ ไม่ใช่การกอด ซึ่งเงื่อนไขที่จะทำให้การกอดนั้นเกิดขึ้นได้ก็คือ “ ความไว้วางใจ ” หรือ Trust นั่นเอง ทำให้การกอดกันก็เป็นการสื่อสารว่าระหว่างคนทั้งคู่ว่าความไว้วางใจได้ก่อตัวขึ้นแล้ว

พลังแห่ง “ อ้อมกอด ”

             ในเชิงวิทยาศาสตร์ การกอดทำให้เรารู้สึกดีได้จากการหลั่ง “ ฮอร์โมนแห่งความรัก ” หรือที่เรียกว่า oxytocin ซึ่งเข้าฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวสำคัญในกระบวนการให้กำเนิดของสตรี ตั้งแต่ตอนที่คลอด การให้นมบุตร และการเชื่อมสัมพันธ์ในเวลาต่อมา นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเห็นผู้หญิงกอดกันในสังคมเป็นเรื่องปกติมากกว่าผู้ชายกอดกัน

            นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยชี้ว่า การกอดเป็นการให้ความหมายด้านความสัมพันธ์กับคนหนึ่งคนโดยที่ไม่ต้องประกาศชัดเจนทางคำพูดว่า คนนี้คือคนสนิทของเรา คือคนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ คนที่เรารู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วปลอดภัยและทำให้เราต้องการจะอยู่กับคน ๆ นี้ต้องการจะใช้เวลาร่วมกันกับเขามากขึ้น

           ในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมา หลายคนอาจจะต้องแยกกันอยู่กับคนที่รัก หลายคนต้องกักตัวห่างกับครอบครัวเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งการอยู่ห่างกับคนที่รักหมายถึงว่าเราได้รับ “ กอด ” น้อยลง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า การกอดส่งสัญญาณกระตุ้นสมองส่วนเดียวกับการกิน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราไม่ได้รับการกอดที่มากพอ เราอาจจะสังเกตตัวเองได้ว่าเราโหยหาการกอดเหมือนกับเวลาที่เราโหยหาอาหารนั่นแหละ

สุขภาพจาก “ อ้อมกอด ”

             การกอดนอกจากจะให้ความอบอุ่นกับจิตใจแล้ว การกอดยังมีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพร่างกายอีกด้วย

1. นอนได้หลับสนิทมากขึ้น

             ถึงแม้ว่า Oxytocin จะไม่ได้มีส่วนช่วยโดยตรงเกี่ยวกับการทำให้ง่วงนอนก็ตาม แต่การกอดกันก่อนที่จะนอนส่งผลดีกับการพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่คุณคิด

             เพราะการกอดมีส่วนช่วยในการลดความเครียดอย่างมีนัยยะสำคัญ ลองพิจารณาดูว่าถ้าเราต้องนอนอยู่ในสภาวะเครียด คุณจะสังเกตตัวเองได้ว่าคุณจะสะดุ้งตื่นได้ง่ายมาก ไม่ต่างกับในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เราจะต้องนอนอย่างระแวงสัตว์นักล่าอยู่กลางป่าตลอดเวลา แต่การกอดคือการสร้างพื้นี่ทปลอดภัย พื้นที่ที่เราสามารถวางใจคนข้างกายเราให้ดูแลเราให้ปลอดภัยได้ นั่นทำให้เราสามารถนอนหลับได้สนิทและลึกมากขึ้น

2. เพิ่มภูมิคุ้มกัน

             การกอดทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้นกันที่แข็งแรงขึ้นด้วย งานวิจัยจาก Carnegie mellon university ระบุไว้ว่าคนที่ได้รับกอดจากคนที่รักเป็นประจำจะมีแนวโน้มที่จะป่วยน้อยกว่า และในตอนที่ป่วย อาการก็จะไม่หนักมากอีกด้วย นี่เป็นเพราะว่าการกอดมีส่วนช่วยในการลดความเครียดลง ซึ่งก็อย่างที่พวกเรารู้กัน สุขภาพกายที่ดีส่วนหนึ่งก็มาจากสุขภาพจิตที่ดีด้วย

 3. ทะเลาะกันน้อยลง

             ในความสัมพันธ์แบบคู่รัก มีงานวิจัยพบว่า คู่รักที่กอดกันบ่อยจะมีแนวโน้มในการทะเลาะกันที่น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับคู่ที่ไม่ได้กอดกันเท่าไหร่นัก นั่นเพราะว่าการกอดถูกสมองเราให้ความหมายว่าเป็นสัญญาณของการสนับสนุนกัน เป็นสัญญาณของการเข้าใจกัน จึงทำให้พวกเขามีภาพจำเกี่ยวกับความรู้สึกเหล่านี้มากกว่าความรู้สึกด้านลบที่อาจจะทำให้ทะเลาะหรือผิดใจกัน

             นอกจากนี้การกอดก็ยังทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันความเครียดอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อคู่รักอยู่ในความสัมพันธ์ที่ปราศจากความเครียดก็มีแนวโน้มที่จะทะเลาะกันน้อยลงเช่นกัน

4. ทำงานกันเป็นทีมได้ดีขึ้น

             อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นหลายครั้งว่า การกอดทำให้เกิดความไว้ใจซึ่งกันและกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการลดความเครียดทีเกิดขึ้น ดังนั้นคงจะไม่น่าแปลกใจอะไรถ้าจะบอกว่าการกอดทำให้เราสามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ดีขึ้น

             ลองสังเกตนักกีฬาที่ต้องการ Teamwork สูง ๆ จะมีภาษาในการกอดที่แตกต่างกันออกไป นักฟุตบอลเมื่อทำประตูได้แต่ละคนแต่ละทีมก็จะมีวิธีการแสดงความดีใจด้วยการกอดในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป นักกอล์ฟก็ยังเห็นว่ากอดผู้ช่วยหรือแคดดี้ของตัวเองในตอนที่สามารถทำผลได้ได้ดี หรือนักมวยที่ขึ้นชก เมื่อได้รับชัยชนะก็มักจะโผเข้ากอดโค้ชหรือครูฝึกของตัวเองเสมอ

            สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกอดก็คือ การกอดนั่นมีได้หลากหลายรูปแบบมาก ๆ ตั้งแต่การโอบกอดแบบปกติ หรือการกอดด้วยสัญลักษณ์เฉพาะตัวแบบต่าง ๆ เช่น Shake-hand sign into hug หรือจะเป็นการกอดคอรื่นเริงเฮฮากัน หรือแม้กระทั่งกับกอดฟัดเล่นกันสัตว์เลี้ยงที่รักก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการกอดแบบไหนก็ตาม การกอดทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้นเสมอ การกอดทำให้คนที่เรารักมีความสุข แต่ในบางครั้ง การกอดก็เป็นเรื่องที่เรามองข้ามและลืมที่จะกอดคนที่เรารักอยู่บ่อย ๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณรู้สึกตัวได้ว่าคุณเริ่มกอดคนรอบตัวน้อยลง คุณอาจจะต้องเริ่มถามกับตัวเองบ่อยขึ้นได้แล้วว่า “ วันนี้คุณกอดใครแล้วหรือยัง ? ”

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line : @LifeEnricher

Facebook: TheLifeEnricher

โทร: 02-017-2758, 094-686-6599

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า