Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

จิตใจของคุณจะคิดอย่างไร ? เมื่อเงินกระดาษปราศจากโลกใบนี้
การหารายได้ หรือการหาเลี้ยงครอบครัว ล้วนแล้วแต่เกิดจากทักษะหรือความสามารถบางอย่างของตัวบุคคล ที่สร้างคุณค่าหรือประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวม และเมื่อคุณค่าเหล่านั้นได้รับการยอมรับจากสังคม จะทำให้ความสามารถเหล่านั้น เกิดเป็นอาชีพขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าโดยส่วนมากแล้ว การใช้ทักษะบางอย่างเพื่อสร้างคุณค่าแลกเงินมาเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว ย่อมต้องแลกมาด้วยการลงทุนทรัพยากร “ เวลา ” ที่เป็นหนึ่งในทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของทุก ๆ คน หลายคนทำงานประจำ ใช้เวลาทำงานต่อวันประมาณ 8 ชั่วโมง หลายคนประกอบอาชีพอิสระ หรือที่เรียกกันว่า Freelancer ซึ่งถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีเวลาเข้า – ออกงานเป็นประจำเหมือนคนกลุ่มแรก แต่พวกเขาก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาเพื่อสร้างผลลัพธ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอยู่ดี และด้วยข้อจำกัดเรื่อง “ เวลา “ เหล่านี้
ทำให้ทางเลือกในการหารายได้เพิ่มเริ่มจำกัดลง ถึงแม้ว่าหลายคนจะสามารถคาดหวังการเติบโตในอาชีพของตนเองได้ แต่การเติบโตในอาชีพนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องในอนาคตที่ค่อนข้างไกลเสียเหลือเกิน ดังนั้นหนึ่งในทางเลือกที่เป็นการ “ ใช้เงินทำงาน “ หรือว่า “ การลงทุน “ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองของหลายคนในยุคปัจจุบัน
“ การลงทุน “ จึงเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนกำลังให้ความสนใจในปัจจุบัน ซึ่งพอได้ยินคำว่า “ การลงทุน “ แล้วหลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เกินเอื้อมเสียเหลือเกิน เพราะการลงทุนที่หลายคนเข้าใจในอดีตเป็นการลงทุนด้วยเงินก้อนมหาศาลเพื่อสร้างธุรกิจขึ้นมา แล้วรอผลตอบแทนจากความสำเร็จของธุรกิจเหล่านั้น และนั่นดูจะเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของคนชั้นกลางที่มีเงินลงทุนหลักหมื่นหรือหลักแสนเหลือเกิน แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามโลก ทำให้เกิดช่องทางการลงทุนเพิ่มขึ้นมา และในปัจจุบันคงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความสนใจของนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ หรือจะเป็นนักลงทุนที่มากประสบการณ์ ไม่ว่าจะมีงบมากหรือน้อยก็ตาม สายตาของทุกคนล้วนพุ่งไปหาตัวเลือกใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน และตัวเลือกนั้นคือ “ Cryptocurrency “ แล้วยิ่งไปกว่าการลงทุน ถ้าหากว่าวันหนึ่งยุคของการใช้พันธบัตรและเหรียญกษาปณ์หมดไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นยุคของ “ การเงิน Digital “ คุณจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ไหม ?
วิธีที่จะรับมือการความไม่รู้ได้ดีที่สุด ก็คือการ “ รู้ “ นั่นแหละ ซึ่งกลยุทธ์การจัดการกับความไม่รู้ก็มีอยู่สองอย่าง คือรู้ก่อน หรือรู้ทีหลัง และความแตกต่างที่เห็นกันอย่างชัดเจนก็คือ ถ้าคุณรู้ก่อน คุณจะคิดวิธีการรับมือกับสิ่งนั้นได้ก่อน แต่ถ้าคุณมารู้ทีหลัง คุณอาจจะต้องเปลี่ยนคือการรับมือ มาเป็นการแก้ปัญหาแทน เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่เห็นว่า การเงิน Digital หรือว่า สกุลเงิน Digital เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน มาเริ่มค่อย ๆ ทำความรู้จักเบื้องต้นกับมันไปพร้อม ๆ กัน

Cryptocurrency คืออะไร
Cryptocurrency เกิดจากคำสองคำมาผนวกกัน Crypto ที่แปลว่า การเข้ารหัส และ Currency ที่แปลว่า สกุลเงิน รวมกันเป็นความหมายว่า สกุลเงินที่ถูกเข้ารหัสไว้ ซึ่งการเข้ารหัสในบริบทนี้ก็คือการเข้ารหัสด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้กลายเป็น สกุลเงิน Digital นั่นเอง
เมื่อพูดถึงสกุลเงินแล้ว ทุกคนน่าจะเข้าใจความหมายกันดีว่า “ เงิน “ คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นและยอมรับในสังคมให้ใช้เป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน เพราะในอดีต การแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นด้วยการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน ไก่แลกหมู หมูแลกปลา ปลาแลกผัก ฯลฯ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ การแลกเปลี่ยนลักษณะนี้จะแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกันได้ลำบากมาก ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่า หมู 1 ตัว กว่าจะขุนให้โตคนเชือดมาขายได้จะต้องใช้เวลากี่เดือน เทียบกับ ไข่ 1 ฟองที่แม่ไก่ที่โตเต็มวัยสามารถไข่ออกมาได้วันละฟอง คำถามคือ คนเลี้ยงหมูและคนขายไข่ จะประเมินมูลค่าสินค้าของอีกฝั่งอย่างไร ถ้าจะต้องการแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน และแน่นอนว่าตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบต้นทุนในส่วนของเวลาในการสร้างสินค้าออกมาขายเท่านั้น ไม่ได้มีการเปรียบเทียบต้นทุนในส่วนอื่น ๆ เลย ซึ่งตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นเพียงแต่การแลกเปลี่ยนสินค้าประเภทเดียวเท่านั้น และแน่นอนว่าปัจจัยในการดำรงชีวิตของมนุษย์ไม่ได้มีแต่หมูกับไข่แน่นอน ถ้าเป็นหมูกับปลาล่ะ ถ้าเป็นหมูกับเสื้อผ้า หมูกับยารักษาโรค ฯลฯ
ดังนั้นมนุษย์เราจึงพัฒนาสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนขึ้นมา แลกสื่อกลางแรกที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนก็คือ เปลือกหอย ซึ่งแน่นอนว่ากูไม่น่าจะเป็นสื่อกลางที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะเปลือกหอยเป็นสิ่งที่สามารถหาได้ทั่วไป มูลค่าที่เปลือกหอยมีจึงไม่คงที่มากพอ จึงมีการพัฒนาสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย ตั้งแต่ทองแดง เงิน ทอง มาจนถึงเหรียญกษาปณ์ และพันธบัตร ( Fiat Currency )ที่เราใช้กันในปัจจุบัน
Cryptocurrency ก็คือ “ สื่อกลาง ” ในการแลกเปลี่ยนแบบใหม่ที่เป็นสกุลเงินที่ถูกเข้าระบบ Digital ด้วยระบบ ” Blockchain “ ซึ่งเป็นระบบการจัดการที่ทำให้สกุลเงินชนิดนี้มีความปลอดภัยในการใช้งานสูงกว่าการทำธุรกรรมผ่านทางธนาคารปัจจุบันมาก สกุลเงินที่พวกเราคุ้นหน้าคุ้นตากันมากที่สุดตอนนี้ก็คือ Bitcoin ที่เป็น Cryptocurrency สกุลแรกที่ถูกคิดค้นขึ้นด้วยคนที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ในปี 2008
Blockchain
จากที่อธิบายเกี่ยวกับ Cryptocurrency ไปข้างต้น หลายคนที่ไม่คุ้นเคยเกี่ยวกับสกุลเงิน Digital นี้อาจจะสงสัยว่า “ ความปลอดภัย “ ที่กล่าวไว้ในตอนแรกจะปลอดภัยได้อย่างไร ? ในเมื่อเป็นสกุลเงิน Digital จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับ Hacker หรือเหล่าอาชญากร Digital ทั้งหลายหรือ ?
สิ่งที่ทำให้ Blockchain มีความปลอดภัยสูงกว่าคือระบบการทำงานที่แตกต่างจากระบบการทำงาน Digital ในแบบอื่น ๆ นั่นแหละ เพราะ Blockchain คือระบบการทำงานที่ไม่มีแกนหลัก หรือว่าเครื่อง Server หลัก แต่มีเครื่อง Server ทำงานอยู่นับไม่ถ้วนทั่วทุกมุมโลกผ่านระบบ Internet นั่นเอง
อธิบายเพิ่มเติมสำหรับคนที่ยังไม่เห็นภาพก็คือ ระบบและฐานข้อมูลใด ๆ ก็ตามในโลกออนไลน์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือระบบการเก็บข้อมูล Digital ไว้ในฐานข้อมูลหลัก หรือที่เรียกว่า Server หลักนั่นแหละ นั่นหมายความว่าเข้าของ Server ที่เป็นผู้ให้บริการในการเก็บข้อมูล มีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนทุกอย่างในฐานข้อมูลนั้น ๆ ได้ ซึ่งความปลออดภัยที่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่มีให้กับลูกค้าคือ สัญญาที่ผูกไว้กับกฏหมายไม่ให้ใช้ข้อมูลหาผลประโยชน์ส่วนคน รวมไปถึงระบบป้องกันออนไลน์ ที่โดยส่วนมากฐานข้อมูลของทุกที่จะมีระบบป้องกันการแทรกแซงจากกลุ่ม Hacker อยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าอาชญกร Digital เหล่านี้สามารถเจาะระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เข้ามาในฐานข้อมูลได้ นั่นเท่ากับว่า อำนาจในการควบคุมฐานข้อมูลนั้น ๆ จะถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของอาชญากรเหล่านั้นในทันที
Blockchain เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลที่ถูกพัฒนาขึ้นให้ทำงานได้ด้วยตัวของมันเองด้วยการเข้ารหัส ผ่านการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ที่ใช้เข้ารหัสเพื่อจัดเก็บข้อมูล ในที่นี้จะเรียกว่า “ Block “ ซึ่ง Block ก็คือการใช้การ์ดจอมาเป็นอุปกรณ์ในการเข้ารหัสและจัดเก็บข้อมูลในการโอน Cryptocurrency นั่นเอง คำพูดที่หลายคนคงจะเคยได้ยินว่า “ เหมืองขุดเหรียญ “ หรือว่า “ ขุด bitcoin “ ก็คือการใช้อุปกรณ์มาสร้างเป็น Block ในการจัดเก็บข้อมูลนั่นแหละ และ Block เหล่านี้มีผุดขึ้นอยู่ทั่วทุกมุมโลก
นั่นหมายความว่า ข้อมูลการทำธุรกรรมของเราจะไม่ได้อยู่ในระบบจัดเก็บข้อมูลแบบเดิมที่อยู่ที่เดียวอีกแล้ว แต่จะกระจายไปตาม Block ที่ทำงานร่วมกันอยู่นับร้อยนับพันเครื่อง หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งความปลอดภัยจากอาชญากรออนไลน์ก็คือ ถ้าสมมติว่าข้อมูลธุรกรรมของเราถูกบันทึกไว้ใน Block 100 Block ถ้าหากว่า Hacker เปลี่ยนแปลงข้อมูลไป 1 Block ระบบจะทำการเปรียบเทียบข้อมูลกับ Block อื่น ๆ อีก 99 Block ที่ถูกเข้ารหัสไว้ทันที และเมื่อระบบพบว่ามีข้อมูลที่ผิดเพี้ยนและแปลกปลอมอยู่ใน Block ไหน ระบบจะคัดทิ้งข้อมูลแปลกปลอมนั้นออกไปทันที นั่นหมายความว่า Hacker จะต้องพยายามเจาะเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block ทั้งหมด 51 Block ระบบถึงจะมองว่าข้อมูลของอีก 49 Block ที่เหลือเป็นของที่แปลกปลอม แต่สบายใจได้เลยว่า การจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลของ Block ทั้ง 51 Block พร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ และนี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น การบันทึกข้อมูลของ Blockchain ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ 100 Block แน่นอน อาจจะเป็นได้ถึงพัน Block หรือหลายหมื่น Block ที่ทำงานร่วมกันอยู่ แล้วถ้า Hacker อยากจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลหาผลประโยชน์เข้าตัวจริง ๆ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงข้อมูล 500 เครื่องพร้อม ๆ กัน หรืออาจจะหลายหมื่นเครื่องพร้อม ๆ กัน และการจะทำโปรเจคที่ยิ่งใหญ่ระดับนั้นจะต้องใช้เงิน และกำลังพลจำนวนมหาศาลแน่นอน ซึ่งพอมาคิด ๆ ดูแล้ว ไม่น่าจะคุ้มค่าแน่นอน

DeFi ( Decentralized finance )
หลายคนเมื่อเข้าใจการทำงานของ Blockchain แล้วอาจจะมองเห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ Blockchain คือการเก็บข้อมูลโดยที่ไม่มีองค์กรหรือบุคคลใดมีอำนาจในการเปลี่ยนข้อมูลเลย ดังนั้น นี่เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบสาธารณะอย่างแท้จริง ซึ่งถ้านำระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบ Blockchain มาใช้ในการจัดการบันทึกข้อมูลทางการเงินแล้ว จะทำให้เกิดเป็นการจัดเก็บข้อมูลทางการเงิน โดยที่ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารที่พวกเราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั่นเองทำให้เกิดเป็นคำบัญญติขึ้นมาว่า Decentralized ซึ่งแปลว่า การกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง ในที่นี้จะหมายความว่า การกระจายการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งเมื่อเอามารวมกับ Finance เป็น Decentralized finance ที่มีความหมายว่า ระบบการเงินในรูปแบบที่ไม่มี “ ศูนย์กลาง ” นั่นเอง ซึ่งเมื่อไม่มีตัวกลางอยู่ในระบบ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมก็จะลดลงไปมากด้วยเช่นกัน
The approaching future
แน่นอนว่าการเงิน Digital ในลักษณะนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับใครหลาย ๆ คนในปัจจุบัน และส่วนมากแล้ว อะไรที่ “ ใหม่ “ มักจะตามมาด้วยความไม่เข้าใจ ที่เป็นสาเหตุของความกลัว หรือความกังวลใจ แต่ถ้าหากว่าเราไม่พยายามวิ่งตามโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการที่เราพยายามจะเอา “ เปลือกหอย “ มาใช้ซื้อของเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในยุคปัจจุบันเลย ซึ่งถ้ามองจากกระแสสังคมในปัจจุบันนี้แล้ว พันธบัตรกระดาษที่เราใช้ในการแลกเปลี่ยนในปัจจุบันนี้อาจจะหายไปเหมือนกับที่เปลือกหอยหมดคุณค่าไปในอดีตก็เป็นได้ และถ้าเรายังไม่ศึกษาหาข้อมูล เราอาจจะพลาดโอกาสในการเติบโตไปก็ได้ เหมือนกับใครหลาย ๆ คนที่มานึกเสียดายเอาตอนที่เห็นว่าราคาของ Bitcoin 1 เหรียญพุ่งขึ้นมาเป็น 2 ล้าน แล้วเห็นคนที่เริ่มลงทุนตั้งแต่ Bitcoin ยังมีมูลค่าเพียงหลักหมื่นได้กำไรหลาย 10,000 % หลายคนเสียดายว่าไม่เคยรู้จักกับสกุลเงินนี้มาก่อน หลายคนเสียดายว่าตัวเองรู้จักแท้ ๆ แต่เลือกที่จะไม่ลงทุนกับมัน
ซึ่งหลายคนที่เลือกลงทุนกับสกุลเงินเหล่านี้ในปัจจุบันก็มีทั้งโชคช่วยบ้าง บางคนก็บอกว่าเทวดาฟ้าดินดลบันดาลให้ซื้อเก็บไว้ แต่เชื่อเถอะว่าพวกเขาเหล่านี้ก็มีการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบการเงินในอนาคตเหล่านี้ ซึ่งสิ่งที่เอามาเขียนในบทความนี้ได้เป็นเพียงแค่การแนะนำให้รู้จักกับระบบเหล่านี้เท่านั้น รายละเอียดการทำงานของระบบเหล่านี้ยังมีให้ศึกษาและเรียนรู้อีกมากก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน แต่เพราะพวกเขารู้มาก่อนแล้ว พวกเขาเลือกที่จะศึกษามาก่อนแล้ว จึงเลือกที่จะลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ และสร้างผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการให้กับตัวเองในตอนนี้ได้
หรือแย่ไปกว่าการพลาดโอกาสก็คือ เราปรับตัวไม่ทัน แต่อนาคตมันมาถึงแล้ว ทุกคนรู้ดีว่ากาลเวลาไม่เคยรอใคร ถ้าหากว่าพันธบัตรที่เราใช้งานกันหายไปแล้วจริง ๆ คุณจะจัดการกับตัวเองได้ไหม คุณจะปรับตัวได้ทันหรือไม่ ? ตอนนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างจีนก็เริ่มมีการใช้เงิน Digital ในสกุลของ “ หยวนดิจิทัล “ ขึ้นมาแล้ว มันจะดีกว่าไหม ถ้าคุณจะหลีกเลี่ยงการต้องมารับมือกับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในเวลาอันจำกัด ด้วยการค่อย ๆ ลงทุนด้วยทรัพยากรแรกคือ “ เวลา “ สักเล็กน้อยต่อวัน ค่อย ๆ ทำความเข้าใจและศึกษาเตรียมความพร้อมให้ตัวเองไปทีละเล็กละน้อย
ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณต้องตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่า สำหรับคุณ เรื่องนี้น่าสนใจ หรือว่าจำเป็นมากพอที่จะต้องศึกษาไว้เลยไหม ? และตอนนี้มีใครเริ่มลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ไปแล้วหรือยัง ?
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599