Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

ชีวิตปังภายใน 21 วัน เพียงแค่คุณฟังสิ่งนี้ ไม่ถึงชั่วโมงต่อวัน
ในยุคสมัยปัจจุบัน ชีวิตของมนุษย์เรามีหลายมิติ หลายมุม หลายหน้าที่ หลายความรับผิดชอบ คนหนึ่งคนที่กลางวันเป็นครูสอนหนังสือ ตกกลางคืนกลายเป็นมือกลองคิวทองก็มี หรือบางคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางทหาร แต่เมื่อกลับบ้านมาก็กลายเป็นคุณพ่อเห่อลูก ฯลฯ แน่นอนว่าทุก ๆ องค์ประกอบ ในชีวิตของเรา ทุกอย่างมีความสำคัญกับเราไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรา “ อยากทำ “ หรือว่าจะเป็นสิ่งที่เรา “ จำเป็นต้องทำ “ เราเลือก “ ทำ “ สิ่งนั้น ๆ เพราะเราเห็นประโยชน์บางอย่างที่เราจะได้จากมันทั้งสิ้น สิ่งที่ “ อยากทำ “ ของหลาย ๆ คนก็อาจจะเป็นงานอดิเรก บางคนมีงานฝืมือมานั่งประดิษฐ์ประดอย บางคนมีอารมณ์สุนทรีย์ชอบมานั่งเล่นดนตรีเพลิน ๆ บางคนชอบเล่นเกม ชอบแข่งขัน ต้องหมั่นฝึก ฯลฯ ส่วนสิ่งที่ “ ไม่อยากทำ “ ของคนส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่อง “ งาน “ ที่แค่พูดถึงวันจันทร์ทุกคนก็เหี่ยวกันหมดแล้ว หรือต่อให้ใครหลายคนที่โชคดีได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยงานที่ชอบ แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “ งาน “ ก็คงจะมีอุปสรรคหลายอย่าง หรือมีความรับผิดชอบที่แตกต่างจากการเป็นงานอดิเรกแน่นอน นอกจากงานก็อาจจะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อคนในสังคมของเราด้วย คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ดูแลให้ลูกน้อยเติบโตในทางที่เหมาะสม คนเป็นลูกก็ทำหน้าที่เรียนรู้และเติบโต หลาย ๆ คนก็ทำหน้าที่ของคนรักที่ดีต่อคู่ชีวิตของเรา ฯลฯ
หลาย ๆ คนอาจจะเรียกการจัดการกิจกรรมทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นว่า “ ความรับผิดชอบ “ ซึ่งเมื่อบทบาทหน้าที่เพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย วันหนึ่งวันของใครหลาย ๆ คนอาจจะมีเรื่องให้จัดการหลายสิบเรื่อง นักเรียนบางกลุ่มเรียนวันละ 7 วิชาก็เจอการบ้านทั้ง 7 วิชา พนักงานบางคนก็ต้องจัดการงานด่วนที่เข้ามาไม่หยุดหย่อนทั้งวัน เจ้าของกิจการก็ต้องคิดหาทางออกให้กิจการและทีมของตัวเองอยู่รอดในวิกฤติปัจจุบัน และนี่ยังไม่รวมถึงคนที่กำลังลงทุนในธุรกิจหลายอย่างอีก
ทั้งหมดทั้งมวล เมื่อทุกอย่างมันมารุมเร้า พวกเราทุกคนจะมีประโยคที่ให้คำจำกัดความของการต้องมานั่งจัดการและแก้ปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวันว่า “ เฮ้อ… ช่วงนี้เครียดจังเลย “
ซึ่งเมื่อพูดถึงความเครียด ทุกคนก็น่าจะรับรู้กันดีอยู่แล้วว่า จะมีผลเสียอะไรตามมากับความเครียดบ้าง เมื่อความเครียดมีผลกระทบกับจิตใจ ความคิดความอ่านและความสามารถในการตัดสินใจในช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตก็ลดต่ำลง และเมื่อจิตใจอยูในสภาวะที่ไม่ดี เรื่องต่อมาก็คือร่างกายก็จะทรุดโทรมลงไปด้วย บางคนอาจจะเคยเป็นเอง หรือบางคนก็อาจเคยเห็นคนใกล้ตัวมีอาการเครียดก็จะเห็นสภาพร่างที่เปลี่ยนไปชัดเจน หน้าตาหม่นหมอง มีถุงใต้ตา หรือบางคนก็อาจจะป่วยไม่สบายกันเลยทีเดียว
เมื่อปัญหา “ความเครียด” กลายเป็นปัญหาสาธารณะในปัจจุบัน จึงมีการศึกษาเกิดขึ้นเพื่อจะจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นในสังคม ว่าความเครียดเกิดขึ้นได้อย่างไร มีสาเหตุจากอะไร และสามารถแก้ไขได้อย่างไรบ้าง

“ หน้าที่ “ ของความเครียด สำหรับผู้ที่รักกการพัฒนาตัวเองทั้งหลาย ก็คงจะเข้าใจคอนเซปต์ของคำว่า “ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีประโยชน์ในตัวของมันเองทั้งสิ้น “ ดังนั้นคำถามต่อมาก็คือ แล้วความเครียดทำหน้าที่อะไร ? ประโยชน์ของความเครียดคืออะไร ?
เดิมที “ ความเครียด “ เกิดจากสถานการณ์ขับขันที่ทำให้ร่างกายและจิตใต้สำนึกของเราต้องตัดสินใจว่า “ จะหนี หรือจะสู้ “ ที่มาจากคำว่า “ Fight or flight ” ซึ่งสภาวะนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาในสมัยที่มนุษย์ยังอยู่ในสถานะของการ “ ถูกล่า “ ในยุคดึกดำบรรพ์เพื่อการเอาชีวิตรอดจากผู้ล่าทั้งหลาย เมื่ออยู่ในสภาวะนี้จะมีการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เมื่อพิจารณาแล้ว การหลั่งฮอร์โมนเหล่านี้ก็ดูสมเหตุสมผลในยุคนั้น การหลั่ง Adrenaline ทำให้ร่างกายคนเราสมรรถภาพสูงขึ้นช่วงคราวเพื่อเอาตัวรอดจากผู้ล่า ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหนี หรือว่าจะต้องเข้าต่อสู้ก็ตาม การหลั่ง Cortisol ที่เป็นฮอร์โมนเครียดที่หลาย ๆ คนรู้จัก ก็เกิดชึ้นเพื่อลดอาการฝกช้ำอักเสบ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมความดันในเส้นเลือดอีกด้วย ซึ่งก็ดูมีประโยชน์ในยุคที่มนุษย์ต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด ยุคที่มนุษย์ยังไม่มีอารยธรรม เก็บของป่ากิน ล่าสัตว์ได้ก็กินตัวที่ล่าได้ ล่าไม่ได้ก็เก็บของป่ากิน เป็นต้น
แต่ในยุคปัจจุบัน นักวิจัยจำกัดการทำงานของฮอร์โมนเหล่านี้ว่า “ ไม่จำเป็น” ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เพราะเราไม่ได้อยู่ในโลกที่มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องอยู่กับสถานการณ์แบบนั้นอีกแล้ว ไม่ต้องเอาตัวรอดจากสัตว์ร้ายที่เป็นผู้ล่า ไม่ต้องเก็บของป่า ไม่มีการต่อสู้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ที่ฮอร์โมนเหล่านี้ยังคงทำงานอยู่ นั่นเป็นเพราะว่ายังคงมีสัฐชาติญาณในการ “ การเอาตัวรอด “ ในปัจจุบันอยู่ เพียงแต่เงื่อนไขไม่ใช่การสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากผู้ล่า หรือการต้องวิ่งหาอาหารตามป่าเหมือนเดิม แต่เป็นการเอาตัวรอดด้วยการรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งการเอาตัวรอดเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องใช้สมรรถภาพทางร่างกายที่เพิ่มขึ้นเหมือนตอนที่ต้องต่อสู้แล้ว จึงเป็นเหตุผลที่นักวิจัยให้ความหมายว่า สภาวะความเครียดในปัจจุบัน เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ “ ไม่จำเป็น “ นั่นเอง
ดังนั้น เมื่อสภาวะเหล่านี้ถูกจำกัดความมาแล้วว่า “ ไม่จำเป็น “ นั่นทำให้นักวิจัยและนักจิตวิทยาหลายคนค้นหา “ วิธีแก้เครียด “ ที่กำลังเป็นปัญหาสาธารณะอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหลายคนอาจจะเคยเห็นวิธีแก้เครียดหลากหลายแขนงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น นวดอโรม่าแก้เครียด นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ฟังเพลง ฯลฯ และวิธีหนึ่งที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และเห็นผลดีก็คือ “ การสะกดจิตบำบัดแก้เครียด “ นั่นเอง

สะกดจิตบำบัดแก้เครียด ?
เมื่อได้ยินคำว่า สะกดจิตบำบัดแก้เครียด บางคนอาจจะคิดถึงการไปปรึกษาจิตแพทย์ หรือบางคนอาจจะคิดถึงคนที่อ้างว่าตัวเองพลังลึกลับเหนือธรรมชาติบางอย่างอยู่ แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าให้อธิบายสั้น ๆ การสะกดจิตบำบัดคือ การเข้าไปสื่อสารกับจิตใต้สำนึกเรานั่นแหละ เพราะจิตใต้สำนึกของเรา มีบทบาทกับการควบคุมความเชื่อที่เกิดขึ้นจากประสบการณืในอดีตมากมาย บางคนเชื่อว่าทำงานต้องเครียด บางคนเชื่อว่าเงินไปเรื่องหายาก บางคนเชื่อว่าถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จะต้องไม่เหลือเวลาให้อย่างอื่น ฯลฯ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ จะมีผลทำให้การกระทำและความคิดของเราเป็นไปตามความเชื่อเหล่านั้น
และการจะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเราได้ จำเป็นจะต้องผ่านกำแพงด่านหนึ่งที่เรียกว่า Critical faculty barrier ไปเสียก่อน ซึ่งเจ้ากำแพงนี้จะมีหน้าที่เป็นหน่วย “ ตรรกะ “ ของเรานั่นแหละ กำแพงนี้จะทำให้เราคิด ประเมิน และตัดสินใจตามเหตุและผลทุกอย่าง เช่น ถ้าคุณได้ยินเพื่อนคุณบอกว่า “ เราจะสามารถเห็นพระอาทิตย์ในตอนกลางคืนได้ชัดกว่าตอนกลางวันแน่นอน “ คุณจะต้องคิดออกมาทันทีว่า มันบ้าไปแล้วรึเปล่า ? นั่นคือการทำงานของกำแพงนี้ และลองคิดดูว่า ถ้าความเชื่อของคุณบอกว่า คุณจะต้องเครียดได้เจอปัญหาเยอะ ๆ ถ้าความเชื่อของคุณบอกว่า ชีวิตในแต่ละวันของคุณจะเต็มไปด้วยความเครียด ต่อให้ใครจะมาบอกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องเครียดเลย กำแพงของคุณก็จะดีดคำพูดเหล่านั้นเหมือนกับที่บอกว่าจะเห็นพระอาทิตย์ตอนกลางคืนชัดนั่นแหละ
สำหรับใครที่ยังไม่เคยถูกสะกดจิต อาจจะรู้สึกไม่สบายใจว่า ยิ่งพอรู้ว่านักสะกดจิตจะสามารถสื่อสารเข้าไปถึงจิตสำนึกของคุณผ่านกำแพงเหตุผลและความคิดของคุณ คุณจะมีความคิดแปลก ๆ ไหม เขาจะบังคับให้เราทำอะไรแปลก ๆ ไหม คำตอบคือ “ ถ้าคุณไม่ยินยอมให้เขาสั่งคุณได้ เขาก็จะสั่งคุณไมได้แน่นอน “ และการยินยอมนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเช่นกัน เพราะงั้นหายห่วงได้เลยว่าคุณจะไม่โดนนักสะกดจิตสั่งให้คุณโอนทรัพย์สินทั้งหมดของคุณให้เขาแน่นอน
การสะกดจิต อยู่รอบตัวคุณมากกว่าที่คุณคิด
ศาสตร์ในการสะกดจิต จริง ๆ แล้วมีอยู่ในหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวของเรามาก ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยคือ เวลาเรานั่งดูหนัง ทำไมเราถึงมีอารมณ์ร่วมไปตามตัวละครในนั้นด้วย ทำไมเราถึงเศร้าเวลาที่เกิดเหตุการณ์น่าหดหู่กับตัวละคร ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์นั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณ คุณแค่นั่งอยู่บนโซฟาสบาย ๆ กับแอร์เย็น ๆ มีป๊อบคอร์นอยู่ในมือ แต่ทำไมคุณถึงรู้สึกเจ็บหัวใจเวลาที่เห็นนางเอกโดนรังแก หรือเห็นพระเอกโดนโชคชะตากลั่นแกล้ง และคุณก็รู้อยู่แก่ใจว่านั่นเป็นเพียงบทละครที่ถูกเขียนขึ้นมา ไม่ใช่เหตุการณ์จริง ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ทำไมคุณถึงรู้สึกเจ็บปวดไปกับมันได้ ทำไมคุณถึงร้องไห้ไปกับมันได้ ?
นั่นเป็นเพราะว่า คุณกำลังถูกภาพยนตร์เหล่านั้น สะกดจิตอยู่นั่นแหละ ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดมันทำให้คุณพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกนั้น ทำให้คุณพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบรรยากาศและความรู้สึกแบบนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ คุณเกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นมาจากการชักนำของภาพยนตร์เหล่านั้นนั่นเอง
ซึ่งถ้าลองพิจารณาดูแล้ว ถ้าหากว่าเรามีสื่อที่สามารถชักจูงจิตใต้สำนึกของเราให้มีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำนองเดียวกับที่ภาพยนตร์มีผลกับเราได้ล่ะ แต่แทนที่จะเป็นอารมณ์เศร้า หรือหดหู่ จะกลายเป็นบางอย่าง ที่ชักนำให้เราผ่อนคลาย บางอย่างทำให้เราสามารถพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบรรยากาศที่ทำให้คุณเบาสบาย ทำให้คุณลืมความคิดที่คุณปักใจเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่า ” นั่นคือความเครียด “ และในที่สุดก็สามารถ “ แก้ปัญหาความเครียด “ ของคุณได้ ก็คงจะดีไม่น้อย จริงไหม ?
จากการวิจัย ศึกษา และฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปัจจุบันมีสื่อที่ทำให้คุณสามารถ “ แก้อาการเครียด “ ด้วยตัวของคุณเอง ที่บ้านของคุณเองได้แล้ว และหนึ่งในสื่อคุณภาพเหล่านั้นที่อยากแนะนำก็คือ HEI Audio book ที่จัดทำโดย TheLifeEnricher ที่สามารถจัดการกับปัญหาความเครียดด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสื่อเหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนมีนักสะกดจิตบำบัดมาพูดคุยและสื่อสารกับคุณ ในเวลาที่คุณต้องการจะผ่อนคลายจากความเครียดทั้งหมดทั้งมวลที่คุณเจอมาในแต่ละวัน
การสะกดจิตบำบัดแก้เครียดในลักษณะนี้จะฟื้นฟูสภาวะจิตใจคุณ ด้วยการชักจูงคุณเข้าไปอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายอย่างช้า ๆ พาคุณปล่อยอารมณ์ลบที่ก่อให้เกิดความเครียดที่ละอย่างสองอย่าง ซึ่งข้อดีอีกอย่างของสื่อประเภทนี้คือ ความคุ้มค่าของเวลาที่ใช้ เพราะสื่อเหล่านี้ใข้เวลาเพียงแค่วันละไม่ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ข้อสำคัญก็คือความต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากคุณสามารถจัดเวลาให้ตัวเองฟังได้ติดต่อกัน 21 วัน รับประกันได้เลยว่าความเครียดที่สะสมอยู่ของคุณในปัจจุบันจะกลายเป็นอดีตไปทันที ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องความเครียดอยู่ คุณอาจจะต้องถามตัวเองอย่างจริงจังแล้วว่า
คุณจะใช้วิธีอะไร “ แก้เครียด “ เพื่อคุณภาพชีวิตที่สร้างได้ด้วยตัวคุณเอง
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599