Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

นักธุรกิจที่ทรงพลัง ปล่อยวางความเครียดอย่างไร ?
ในสนามรบของวงการธุรกิจที่ต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ต้องเติบโต และต้องพัฒนาให้เหนือกว่าคู่แข่ง ต้องจัดการกับปัญหาที่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน แน่นอนว่า “ ความเครียด “ จะตามคุณไปทุกหนแห่ง เหมือนว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่คุณจะออกห่างจากมันไม่ได้เลยตราบบเท่าที่คุณกำลังพยายามทำให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าต่อไปได้ คราวนี้คำถามที่อาจจะเกิดขึ้นกับใครหลาย ๆ คนก็คือ ในขณะที่คุณกำลังต่อสู้อยู่กับความเครียด ด้วยธุรกิจที่อาจจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนักเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ที่อาจจะมีขนาดใหญ่กว่าคุณหลายเท่า คนที่กำลังบริหารธุรกิจระดับนั้นให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาจัดการกับความเครียดนี้ได้อย่างไร ?
พวกเขามีเทคนิคบางอย่างที่ทำให้เขาสามารถจัดการกับความเครียดได้ง่ายไหม ? หรือคนกลุ่มนั้นแข็งแกร่งเสียจนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องที่เครียดไปแล้ว ? หรือว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวที่โชคดีถึงขนาดว่าชีวิตไม่มีความเครียดเลยอย่างนั้นหรือ ?
คำตอบก็คือ พวกเขาแต่ละคนก็มีวิธีการจัดการกับความเครียดที่แตกต่างกันออกไป ตามสไตล์และตามความเชื่อของแต่ละบุคคล แต่ก่อนที่จะไปถึงหัวข้อนั้น ลองมาทำความรู้สึกกับ “ ความเครียด “ กันสักหน่อยดีกว่า ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร มันเกิดจากอะไร
“ความเครียด” คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับจิตสำนึกของคนเรา ที่เกิดขึ้นเมื่อเราสัมผัสได้ว่า เราไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เราให้คุณค่าว่ามันสำคัญกับเราได้
ความเครียดอาจจะมาจากต้นตอที่หาได้ง่าย เช่น โดนคู่ค้าทางธุรกิจคดโกงเล่นไม่สื่อ หรือ คนในครอบครัวล้มป่วย ฯลฯ และบางครั้งความเครียดอาจจะก่อตัวขึ้นมาจากเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราอาจจะมองข้ามและคิดว่านั่นอาจจะไม่ใช่ความเครียด แต่สุดท้ายเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็รวมกันกลายเป็นความเครียดก้อนใหญ่ที่ส่งผลกับคุณจนได้
ความเครียดที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าจะส่งผลต่อเราในหลาย ๆ มุม อย่างแรกเลยก็คือ อารมณ์ที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ทางลบ บางคนอาจจะรู้สึกหม่น ๆ ซึม ๆ ดูเศร้า ๆ ตลอดเวลา หรือบางคนก็อาจจะอารมณ์ร้อน โมโหหงุดหงิดง่ายไปเสียทุกเรื่อง ถัดมาจากอารมณ์ก็แน่นอนอยู่แล้ววเป็นสภาวะของจิตใจ ที่จะออกอาการชัดเจนว่ากำลังกังวลหรือคิดอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถปล่อยวางความคิดบางอย่างได้ จนทำให้บางครั้งเริ่มจะหลงลืมข้อมูลส่วนอื่นไปเพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่ออารมณ์ไม่ดี จิตใจปั่นป่วน เรื่องที่กระทบต่อมาก็คือร่างกายของเรานั่นแหละ อาการที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกันดีก็จะเริ่มมาจากการปวดหัว ความดันเลือดสูง บางคนก็เริ่มน้ำหนักขึ้น หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงในฮอร์โมนทางเพศ ท่านชายหลายคนอาจจะรู้สึกว่าความเป็นชายไม่ค่อยทำงานเหมือนเดิม และสุภาพสตรีหลายท่านอาจจะสังเกตถึงความไม่ปกติของรอบเดือนของตัวเองได้
เมื่อรู้จักกับความเครียด และผลของมันแล้ว กลับมาที่คำถามเดิมว่า แล้วนักธุรกิจที่ทรงพลังทั้งหลาย เขาทำให้ความเครียดมันหายไปได้อย่างไร ? คำตอบก็คือ พวกเขาไม่ดื้ทำให้มันหายไป แต่พวกเขา “ จัดการ “ กับมันได้ เพราะความเครียดเป็นอารมณ์ลบอย่างหนึ่ง และสำหรับผู้ที่เคยศึกษาศาสตร์ของจิตวิทยาสื่อประสาทจะเข้าใจว่า อารมณ์ลบทุกอย่างเป็นสัญญาณที่กำลังเตือน หรือบอกอะไรบางอย่างกับพวกเราอยู่ ซึ่งการจัดการของพวกเขา ก็คือการรับรู้และการสร้างแรงผลักดันจากความเครียดเหล่านั้นนั่นแหละ ซึ่งเทคนิคที่เห็นว่าเจ้าของธุรกิจหลาย ๆ คนใช้จัดการกับ ความเครียดจะแบ่งออกมาได้ 3 อย่างด้วยกันคือ

1 . มองปลายทางในอนาคตให้ชัด
นี่เป็นเทคนิคที่มาจากความเข้าใจของพวกเขาว่า สิ่งที่เขากำลังเจออยู่ในปัจจุบัน เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จำเป็นสำหรับเป้าหมายใหญ่ของพวกเขา พวกเขาชัดเจนว่าผลลัพธ์ที่เขาต้องการคืออะไร และผลลัพธ์นั้นมีค่ามากพอที่พวกเขาจะยอมให้ตัวเองจมอยู่กับสมรภูมิอารมณ์และความเครียดเหล่านี้ เพราะฉะนั้น เทคนิคนี้พวกเขาจะไม่ได้ทำให้ความเครียดหายไป แต่พวกเขาก็จะทำทุกอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ โดยที่ก็ยังมีความเครียดอยู่แบบนั้นนั่นแหละ แต่พวกเขาเดินหน้าไปได้เพราะเขาเห็นแสงจากปลายทางของอุโมงมืด พวกเขาเห็นว่าถ้าผ่านจุดนี้ไปได้พวกเขาก็จะเจอแสงสว่างแล้ว
นี่เป็นเทคนิคที่พวกเขาใช้สร้างแรงผลักดันด้วยพลังงานบวก พวกเขามีแนวคิดที่ว่า ถ้าพวกเขาไม่ทำแบบนี้ตอนนี้คงจะได้เครียดหนักกว่านี้แน่ ๆ พวกเขายอมที่จะฝ่าฟันความเครียดเพื่อปลายทางที่พวกเขาปักเอาไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งบ่อยครั้งการที่มีความชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเองขนาดนี้ พวกเขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเขาจะต้องเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ และเงื่อนไขในการสำเร็จของพวกเขาก็คือการก้าวข้ามเหตุการณ์เหล่านี้ไปให้ได้นั่นแหละ เหมือนกับหลาย ๆ คนในวัยเด็กที่ยอมอ่านหนังสือเรียนเพื่อที่จะสอบได้คะแนนดี ๆ เวลาที่คุณพ่อคุณแม่เอาของรางวัลที่เราอยากได้มาล่อนั่นแหละ บ่อยครั้งที่เหนื่อย บ่อยครั้งที่ไม่เข้าใจ คุณก็จะสามารถพาตัวเองผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาได้เพราะว่าคุณต้องการรางวัล คุณต้องการผลลัพธ์นั้นมากพอ
ดังนั้นข้อความหลักที่สำคัญในการใช้เทคนิคนี้ก็คือ การชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเองตั้งแต่แรก คุณอยากจะได้อะไร คุณต้องการไปทำไม ผลลัพธ์นั้นจะให้อะไรกับคุณ และคุณค่าที่คุณจะได้จากผลลัพธ์เหล่านั้นจะเป็นอะไรได้บ้าง และเมื่อคุณตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเอาไว้แล้ว คุณจะวางแผนการเดินทางของคุณว่าจากจุดเริ่มต้นของคุณ ไปจนถึงเป้าหมาย คุณจะต้องเจอกับอะไรบ้าง อะไรที่คุณควบคุมได้ อะไรที่คุณควบคุมไม่ได้ อะไรที่คุณเลี่ยงได้ และอะไรที่คุณจะต้องกัดฟันลุยกับมัน ถ้าคุณตั้งเป้าหมายไว้ได้ชัดเจนแบบนี้แล้ว ความเครียดก็อาจจะเป็นแค่แมลงกวนใจที่ตอมคุณระหว่างที่คุณกำลังสร้างผลลัพธ์อยู่ก็ได้
2 . ถ้าไม่ดิ้น สิ้นแน่ ๆ ….
เทคนิคแรกที่สังเกตเห็นนักธุรกิจหลายคนทำคือการชัดเจนกับตัวเอง และผลักดันตัวเองไปด้วยพลังงานทางบวก เทคนิคที่สองที่สัมผัสได้ก็คือด้านตรงกันข้ามกับอย่างแรก เทคนิคนี้คือการผลักดันด้วยพลังงานทางลบ
หลาย ๆ คนจะเข้าใจคำว่า “ อมเลือด “ ของนักธุรกิจที่ใช้เทคนิคนี้ดี ซึ่งถ้าจะให้พูดตรง ๆ ว่าอยากจะแนะนำเทคนิคนี้ไหม เมื่อเปรียบเทียบกับเทคนิคแรกก็ต้องเรียนตามตรงว่า ไม่อยากจะแนะนำให้ใช้เทคนิคนี้เท่าไหร่ เพราะการให้ความหมายกับอารมณ์ลบในลักษณะนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายนักก็น่าจะเข้าใจกันดีว่าไม่ส่งผลดีกับสุขภาพจิตและร่างกายแน่นอน เทคนิคนี้ไม่ได้ทำให้หายเครียด แต่เป็นเหมือนการบังคับให้ตัวเองเดินต่อทั้ง ๆ ที่เครียดอยู่นั่นแหละ
เทคนิคนี้จะผลักดันให้พวกเขาเดินหน้าไปได้ เพราะพวกเขาปิดโอกาสการเดินถอยหลังของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ก้าวมาแล้วก็ต้องก้าวต่อ เพราะถ้าหยุดก้าวก็คือตายสถานเดียว ถ้าหยุดก้าวพนักงานหรือทีมก็อยู่ไม่ไหวกันแน่นอน หนี้สินที่กู้ยืมมากำลังไล่หลังเรามาอยู่ถ้าหยุดก้าวก็จัดการกับหนี้ไม่ได้ แรงผลักดันของพวกเขามาจากความคิดที่ว่า ถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรตอนนี้ ไม่ดิ้นให้สุดในตอนนี้ ทุกอย่างมันจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ถ้าจะเปรียบเทียบกับตัวอย่างการอ่านหนังสือสอบว่า เทคนิคก่อนหน้านี้ใช้รางวัลเป็นตัวล่อ เทคนิดนี้ก็คงจะเหมือนกับการใช้บทลงโทษขู่นั่นเอง ถ้าสอบไม่ได้จะโดนห้ามไม่ให้ออกไปเจอเพื่อน 1 เดือน ห้ามดูการ์ตูน ห้ามนู่นห้ามนี่ ฯลฯ ซึ่งตัวเราเองก็จะพยายามอ่านหนังสือแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะวิ่งหนีบทลงโทษที่จะทำให้เราทรมานมากกว่าการอ่านหนังสือจนดึกจนดื่นแน่นอน
แน่นอนว่าต่อให้คุณวางแผนมาดิบดีแค่ไหนก็ตาม คุณก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับปัญหาที่คุณไม่คาดคิด หรืออุปสรรคที่คุณไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ซึ่งบางครั้งตัวคุณเองก็อาจจะถูกกระตุ้นด้วยพลังงานทางลบอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ แต่คำเตือนก็คือ อย่าอยู่ในเทคนิคนี้ในระยะยาว ระยะสั้น ๆ เพื่อแก้ปัญหาเพื่อถีบตัวเองออกมาจากวิกฤติก็อาจจะไม่กระทบอะไรมากมาย แต่ถ้าอยู่ในสภาวะที่ต้องถูกพลังงานทางลบกระตุ้นแบบนี้ตลอดเวลา คุณอาจจะต้องหาวิธีจัดการกับความคิดเหล่านี้อย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคุณจะถูกกระทบอย่างหนักแน่นอน

3 . เท่าทันความเครียดตัวเอง
อย่างที่ได้กล่าวไปช่วงต้นว่าความเครียด เป็นอารมณ์บางอย่างที่แฝงมาด้วยความหมายและสัญญาเตือนภัยที่กำลังเตือนให้เราตื่นตัวกับเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น การเท่าทันความเครียดของตัวเอง คือการจับความหมายที่ซ่อนมากับอารมณ์เหล่านั้นให้ได้ว่า เราควรจะต้องทำอะไร เราควรจะต้องจัดการเรื่องไหน และเราควรจะต้องรับมือกับมันอย่างไร
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย การจะทันอารมณ์ของตัวเองที่ผุดขึ้นมาและส่งผลกับสภาพจิตใจของเราอย่างรวดเร็ว เพราะคนเรามีอารมณ์ผุดขึ้นมาหลายสิบหลายร้อยอารมณ์ในแต่ละวัน คำแนะนำสำหรับคนที่อยากจะจัดการให้ความเครียด “ หายไป “ จริง ๆ ก็คือการลงทุนกับตัวเองในการเรียนรู้หลักเกี่ยวกับการปล่อยวางในเชิงจิตวิทยาสื่อประสาท การทันอารมณ์ตัวเอง การทันความคิดตัวเอง การทำให้ตัวเอง “ นิ่ง “ เพื่อที่จะตัดสินวิธีการรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีอารมณ์ทางลบมาคอยลดประสิทธิภาพในการตัดสินใจ
แต่การ “ นิ่ง “ ให้ได้ตลอดเวลา และในเวลาที่สำคัญ อาจจะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากกว่าที่คุณคิด บางครั้งต่อให้คุณเข้าใจความหมายหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นใจตัวคุณ แต่อารมณ์ก็อาจจะเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากในบางครั้ง คุณอาจจะกำลังต้องการนักสะกดจิตบำบัดมืออาชีพที่ทำให้คุณ “ นิ่ง “ ได้จริง ๆ “ ปล่อยวาง “ ได้จริง ๆ และทำให้คุณเบาสบายขึ้นในการจัดการกับเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอของความเครียด เทคนิคนี้คือการกล้าที่จะลงทุนกับตัวเอง กล้าที่จะลงทุนเพื่อรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ที่อาจจะประเมินค่าเป็นเงินชัดเจนไม่ได้ แต่คุณค่าที่คุณจะได้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากตัวเอง จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น และสามารถลุกขึ้นมาอุ้มธุรกิจของคุณด้วยสองมือของคุณได้แน่นอน
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599