
พัฒนาจิตใจตนเองด้วยหนังสือ สะกดจิตบำบัด
ยุคเทคโนโลยีหรือยุค Digital ในปัจจุบัน เป็นยุคที่เราสามารถเชื่อมต่อกันได้สะดวกและง่ายดายกว่าเมื่อ 20 – 30 ปีก่อนมาก เราจะสังเกตได้ว่าคนรุ่นก่อน ๆ จะให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงรื่นเริงตามโอกาสต่าง ๆ มากกว่าคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน ฯลฯ เพราะนั่นเป็นโอกาสที่จะได้นัดเจอกับเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานแสนนาน ได้มีโอกาสพูดคุยอัพเดตชีวิตกันว่าใครเป็นอย่างไรบ้าง แต่คนรุ่นใหม่ในยุคนี้ไม่จำเป็นจะต้องรองานรื่นเริงในการอัพเดตหรือติดต่อกับเพื่อนฝูงแล้ว เพราะพวกเราใน social media เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารและอัพเดตตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ตอนไหน เมื่อไหร่ สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เราสามารถเลือกที่จะแสดงสิ่งที่เราอยากจะแบ่งปันหรืออยากจะแชร์ให้คนอื่นรับรู้ได้ไม่ยาก
นอกจากการอัพเดตข้อมูลกันแล้ว การสื่อสารหรือการแสดงความคิดเห็นต่อกันก็เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นและถี่ขึ้นกว่าเดิมมากด้วย แน่นอนว่าการสื่อสารหรือว่าการแสดงความคิดเห็นกัน ก็ย่อมมีทั้งด้านบวกและด้านลบปะปนกันไป ต่างคนต่างความคิด เรามองเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันเรา และอาจจะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกมาให้เราเห็น ความคิดเห้นที่ตรงกันก็ทำให้เราและเขามีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันได้ แต่เจ้าความคิดเห็นที่แตกต่างกันเนี่ยแหละ อาจจะทำให้เกิดผลเสียกับตัวเราเองได้มากกว่าที่คุณคิด
แน่นอนว่าในปัจจุบันมีการรณรงค์กันในสังคมโดยเฉพาะใน social media เกี่ยวกับเรื่องการ “ คิดก่อนพูด / พิม ” มากขึ้นกว่าเดิม เพราะคนในยุคปัจจุบันไม่น้อยเลยที่เจ็บปวดกับการแสดงความคิดเห็นเชิงลบใส่กันในโลกออนไลน์โดยที่ไม่จำเป็น การแสดงความคิดเห็นเชิงลบ sexual harassment การด้อยค่าความคิด หรือกับด้อยค่าตัวตนของคนหนึ่งคนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย แต่การแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการปกป้องตัวเอง การรักษาใจตัวเอง และการทำให้ตัวเองมีภูมิคุ้มกันต่อคำพูดเหล่านั้น แต่ก่อนที่จะเข้าใจผิด เราไม่ได้มีเจตนาที่จะ victim blaming แต่อย่างใด แต่ถ้ามองในมุมมองของจิตวิทยาสื่อประสาทแล้ว เราไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ เพราะต่างคนต่างความคิด ต่างสภาพแวดล้อม ต่างการศึกษา ดังนั้นองค์ประกอบและปัจจัยที่เรามีอำนาจควบคุมได้เต็มที่ก็คือตัวเรา และจิตใจของเรา การจัดการกับเรื่องนี้ที่ดีที่สุดก็คือการจัดการตัวเองนั่นเอง
การสะกดจิตบำบัด
หลายคนพอพูดถึงการสะกดจิตบำบัดแล้ว ภาพจำแรกที่โผล่ขึ้นมาคือเรากำลังเอาตัวเองไปโดนนักสะกดจิตควบคุมตัวเอง การแสดงโชว์สะกดจิตที่ทำให้เราหลับไปเฉย ๆ ให้เราทำตามคำสั่งอะไรประมาณนั้น หรือบางคนอาจจะคิดว่าการสะกดจิตจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีปัญหาหรือเป็นโรคซึมเศร้าแล้วก็ได้ถึงจำเป็นจะต้องใส่ศาสตร์การสะกดจิตบำบัด
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสะกดจิตบำบัดเป็นอีกหนึ่งศาสตร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้รักษาสุขภาพจิตใจของเราเอง ด้วยวิธีการสื่อสารเฉพาะทางที่ทำให้เราสามารถสื่อสารกับจิตใต้สำนึกได้มีประสิทธิภาพมากกว่าปกติ ซึ่งเจ้าจิตใต้สำนึกนี่แหละคือกุญแจสำคัญที่คอยควบคุมความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของเรา ซึ่งคำพูดที่ใช้เรียกจิตใต้สำนึกที่อาจจะคุ้นเคยกันมากกว่าก็คือ “ จิตใจ “ นั่นเอง

จิตใต้สำนึก คือ สิ่งแรกที่ต้องสำรวจ เมื่อทำการ สะกดจิตบำบัด
หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับคำว่า “ จิตใต้สำนึก “ บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกคืออะไร และจิตใต้สำนึกมีผลกับอารมณ์ ความรู้สึก และความเป็น “ เรา “ มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นก่อนอื่น ลองมาทำความรู้จักกับ “ จิตใจ “ ของเราเองก่อนดีกว่าว่า สิ่ง ๆ นี้คืออะไร
จิตใต้สำนึกเกิดขึ้นจากประสบการณ์ในอดีตที่เราเก็บสะสมเอาไว้ตั้งแต่เราจำความได้ ไม่ว่าประสบการณ์อะไรจะเกิดขึ้นในอดีต ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเราจะถูกบันทึกเอาไว้ในจิตใต้สำนึก และเจ้าจิตใต้สำนึกจะทำหน้าที่ในการคอยเตือนเราอยู่ตลอดเวลาให้ถอยห่างออกมาจากสิ่งที่คล้ายกับประสบการณ์ในอดีตที่เคยทำร้ายเรามาก่อน ยกตัวอย่างเช่น บางคนกลัวหมาเอามาก ๆ เพราะตัวเองเคยถูกหมากัดมาสมัยเด็ก ๆ ทำให้ในปัจจุบันจะพยายามถอยห่างออกจากหมาทุกตัว ไม่ว่ามันจะเป็นหมาตัวเล็กแค่ไหนก็ตาม และเจ้าตัวก็มักจะรู้ตัวด้วยว่า หมาตัวเล็กเท่านั้นไม่มีทางทำอะไรอันตรายกับเราได้แน่นอน แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงกลัวและพยายามถอยออกห่างอยู่ดี
ประเด็นสำคัญที่สามารถสังเกตได้ในตัวอย่างข้างต้นก็คือ ทั้ง ๆ ที่เรารู้เหตุผลดี เรามีตรรกะสนับสนุนความคิดของตัวเองไปในทางหนึ่ง แต่จิตใต้สำนึกก็ยังทรงพลังพอที่จะบังคับเราให้กระทำอีกอย่างหนึ่งที่ส่วนกับตรรกะและความคิดในสมองของเราอย่างสิ้นเชิงได้ เพราะว่า จิตใต้สำนึกของเราอยู่นอกเหนือตรรกะและความคิดของตัวเรานั่นเอง นั่นเลยเป็นสาเหตุที่หลาย ๆ คนเคยพูดกับตัวเองว่า รู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทำอะไรบางอย่างได้ เหมือนกับในตัวอย่างว่า รู้ทั้งรู้ว่าหมาน่ารักตัวเท่านี้ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้อยู่ดี นั่นแหละ
ความแตกต่างของจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกก็คือ จิตสำนึกของเราจะทำงานด้วยการคิดวิเคราะห์ เราพยายามตัดสินทุกอย่างด้วยความเป็นจริงตรงหน้าทีเกิดขึ้นได้ แต่จิตใต้สำนึกจะเอาประสบการณ์เก่ามาตัดสินเหตุการณ์ตรงหน้าโดยที่ไม่สนเหตุผลหรือตรระกใด ๆ นั่นเป็นเพราะว่า ระหว่างจิตสำนึก และ จิตใต้สำนึกมีกำแพงที่เรียกว่า Critical faculty barrier หรือกำแพงเหตุผลกั้นอยู่นั่นเอง ซึ่งประสบการณ์ที่มีผลกับความรู้สึกเรารุนแรงก็จะถูกฝังเก็บเอาไว้ในจิตใต้สำนึกนี่เอง เป็นที่มาของคำพูดที่เราคุ้นเคยว่า “ ประสบการณ์ฝังใจ “ นั่นแหละ
คราวนี้ความท้าทายในการจัดการกับจิตใต้สำนึกก็คือ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่เราจะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกได้ เราไม่สามารถจะพูดกับตัวเองง่าย ๆ ได้ว่า “ หมาตัวแค่นี้ไม่ต้องกลัวหรอก “ แล้วหายกลัวได้ จิตใต้สำนึกเราไม่ได้เข้าถึงได้ง่ายแบบนั้น การจะติดต่อสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเรา จำเป็นจะต้องทำให้เราตกอยู่ใน trance หรือ ภวังค์ เสียก่อน เราถึงจะสามารถติดต่อและสื่อสารกับจิตใต้สำนึกได้ และการพาคนเข้ามาในภวังค์ คือหนึ่งในองค์ประกอบที่นักสะกดจิตบำบัดต้องมี
หลายคนคงจะคิดว่าตัวเองอาจจะไม่สามารถเข้าสู่ภวังค์ได้ ไม่รู้ว่าภวังค์คืออะไร แต่ถึงคุณจะไม่รู้จักกับภวังค์ เชื่อว่าทุกคนเคยเข้าสู่ภวังค์กันมาหมดแล้ว ถ้าหากว่าคุณเคยดูหนังดูภาพยนตร์ แล้วอินกับเนื้อเรื่องมาก ๆ คุณตื่นเต้นเวลาพระเอกกำลังจะปราบผู้ร้ายได้ คุณเศร้าเวลาที่นางเอกอกหัก หรือคุณคนลุกเวลาที่บรรยากาศในหนังวังเวงน่ากลัว นั่นแหละคือคุณกำลังอยุ่ในภวังค์แล้ว เพราะว่าคุณกำลังเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันเป็นเพียงเหตุการณ์ที่คุณก็รู้ว่าถูกแสดงและจัดฉากขึ้นมา แต่คุณก็อดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์และความรู้สึกไปกันมันด้วย ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง คุณแค่กำลังนั่งจ้องจอภาพอยู่บนเก้าอี้สบาย ๆ เท่านั้นเอง
นักสะกดจิตบำบัดจะใช้เครื่องมือที่พวกเขามีในการสื่อสารกับคุณ และพาคุณเข้าไปในภวังค์ในลักษณะเดียวกันกับที่ภาพยนตร์ทำนั่นแหละ แค่เป้าหมายและสารที่นักสะกดจิตบำบัดต้องการจะสื่อสารกับคุณจะเป็นสารที่จะช่วยทำให้คุณหันมาให้กำลังใจตัวเอง และรักษาสุขภาพจิตใจของคุณได้นั่นเอง

การสะกดจิตบำบัดเพื่อรักษาจิตใจ
องค์ประกอบสำคัญของการสะกดจิตบำบัดเรื่องรักษาจิตใจก็คือ คุณจะต้องให้ความร่วมมือกับการบำบัดอย่างเต็มที่ด้วย เพราะการรักษาคือการพาคุณเข้าไปพูดคุยและสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของคุณ การรักษาไม่ใช่การปล่อยให้ตัวคุณเองโดนนักสะกดจิตควบคุมเต็มที่เสียแบบนั้น การถูกสะกดจิตลักษณะนี้คุณจะยังมีสติและสามารถควบคุมตัวเองได้ 100% ดังนั้นอย่างแรกเลยคือ คุณจะต้องอนุญาตตัวเองให้ดำเนินการตามวิธีของนักสะกดจิตตลอดกระบวนการ
องค์ประกอบที่นักสะกดจิตบำบัดจะให้คุณได้คือการทำตัวเองให้สบาย สัมผัสสบาย หลับตาลงช้า ๆ ค่อย ๆ ลดการมองเห็นลง และใช้เสียงค่อย ๆ พูดคุยกับคุณและพาคุณค่อย ๆ ลงไปคุยกับจิตใต้สำนึกของตัวเอง ซึ่งการสะกดจิตลักษณะนี้ ไม่ได้มีผลแค่การรักษาจิตใจเท่านั้น ความคิดหรือความเชื่อในอดีตที่เคยเหนี่ยวรั้ง หรือเคยจำกัดตัวคุณเองเอาไว้ก็สามารถถูกเปลี่ยนได้ด้วยศาสตร์นี้เช่นกัน
ดังนั้นการสะกดจิตบำบัดก็คงจะไม่ได้หยุดอยู่แค่การรักษาโรคทางจิตร้ายแรงเท่านั้น การสะกดจิตบำบัดเป็นการรักษาสุขภาพจิตของเราให้ปลอดโปรงและแจ่มใส เหมือนกับการรักษาสุขภาพการที่เราควรจะทำเป็นประจำนั่นแหละ ดังนั้นเชื่อว่าทุกคนถ้าหากว่าได้ทำการสะกดจิตบำบัดเป็นประจำ เชื่อว่าจะต้องได้ประโยชน์กลับไปแน่นอน
แต่การสะกดจิตบำบัดเป็นประจำก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ ถ้าจะต้องพาตัวเองไปพานักสะกดจิตบำบัดอย่างต่อเนื่องก็อาจจะไม่สะดวกตลอดเวลา ดังนั้นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งก็คือ “ หนังสือสะกดจิตออนไลน์ “ เพราะปัจจุบัน การเดินทางก็เหมือนต้องพาตัวเองไปรับความเสี่ยงกับโรคติดต่อร้ายแรงในปัจจุบันพอสมควร หนังสือสดกดจิตออนไลน์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการบริหารสุขภาพจิตของคุณอยู่เป็นประจำ ด้วยคลิปเสียงที่สร้างบรรยากาศช่วยให้คุณเข้าถึงจิตใต้สำนึกได้ด้วยตัวเอง ให้คุณได้เริ่มสื่อสารกับจิตใต้สำนึกและพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง เพียงฟังคลิปเสียงที่ออกแบบโดยนักสะกดจิตบำบัดมืออาชีพ ให้ครบ 21 วันตามกำหนด คุณก็จะตื่นมาพร้อมกับคุณคนใหม่ที่ พร้อมเปิดรับ เรียนรู้และพร้อมลุยกับสิ่งใหม่ ๆ ที่คุณจะลืมไปเลยว่าคำพูดลบ ๆ ของคนอื่นนั้นเคยทำให้เจ็บช้ำใจ นอกจากนี้คุณยังสามารถเป็นผู้ที่มีความฉลาดทางอารมณ์ เป็นที่รักของคนรอบข้าง และถ้าคุณเป็นคนที่ฝึกจิตใจอย่างจริงจัง คุณยังสามารถสอนผู้อื่นได้อีกเช่นกัน ซึ่งศาสตร์การสะกดจิตบำบัดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หรืออันตรายใด ๆ เพราะ ศาสตร์นี้มีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ใช้ในทางการแพทย์ แต่ปัจจุบันศาสตร์สะกดจิตบำบัด ไม่สามารถใช้รักษาผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น ถ้าคุณเป็นที่รักในการพัฒนาตัวเองศาสตร์คืออีกหนึ่งศาสตร์ที่คุณไม่ควรพลาด
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599