
เรียนรู้คนใกล้ชิด เพื่อลดการทะเลาะในวิกฤตต่างๆ
“ความเครียด” สิ่งที่หลายๆคนรู้สึกว่าตัวเองถูกล่ามไว้กับมันอยู่ตลอดเวลา ความเครียดของแต่ละคนก็มีอยุ่ในมิติต่างๆของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน บางคนเครียดเรื่องงาน บางคนเครียดเรื่องความสัมพันธ์ ฯลฯ และในสถานการณ์วิกฤตที่ดูเหมือนจะควบคุมได้ หวนกลับมาอีกครั้ง ความเครียดนี้ก็เหมือนจะทวีคูณหนักขึ้นเรื่อยๆ
ตัวแปรสำคัญในการจัดการกับความเครียดนี้ หลายๆคนอาจจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ถ้าคนรอบตัวดี ต่อให้เครียดก็คงจะผ่านอะไรหลายๆอย่างไปได้” ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะสภาพแวดล้อมที่ดี มีผลต่อสุขภาพจิตมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนร่วมงานที่ดี หัวหน้าที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่น คู่ชีวิตที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ฯลฯ และเมื่อพวกเราทุกคนที่คนที่สำคัญอยู่รอบตัว การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเหล่านี้ไว้จึงเป็นหนึ่งเรื่องที่อยู่ในความคิดของใครหลายๆคนเสมอ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผลกระทบกับใครหลายๆคน ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องหน้าที่การงาน และความมั่นคงในชีวิต ด้วยความคิดที่แตกต่างกัน จะนำมาซึ่งการตัดสินใจ และกลยุทธ์ของชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และความแตกต่างนี้ ถ้าคุณไม่ “รู้จักคน” มากพอ คุณอาจจะกำลังทำร้ายความสัมพันธ์อันล้ำค่าของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้
“คนเหมือนกัน แต่คนไม่เหมือนกัน”
หลายๆคนอาจจะมีความคิดอยู่ในหัวว่า “ฉันก็ต้องเข้าใจคนที่อยู่ใกล้ตัวฉันอยู่แล้วสิ” ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่อาจจะไม่ทั้งหมด เพราะหลายๆคนก็อาจจะมีความคิดที่ “ตัดสิน” คนสำคัญใกล้ตัวอยู่ไม่มากก็น้อย ละก่อนที่คุณจะเข้าใจว่าการตัดสินเป็นเรื่อง Negative บอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่านั่นไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแค่คุณอาจจะยังไม่เข้าใจในเบื้องลึกของคนตรงหน้าของคุณก็เป็นได้ เพราะในทางจิตวิทยานั้น การตัดสินใจของแต่ละคนเกิดขึ้นเพราะต้องการประโยชน์บางอย่างจากการตัดสินใจนั้นทั้งสิ้น ซึ่งถ้าหากว่าคุณไม่เข้าใจคนตรงหน้าจริงๆ ประโยชน์เหล่านั้นที่พวกเขาเห็น อาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับคุณ เพราะมันอาจจะไม่ได้สำคัญสำหรับคุณเท่ากับพวกเขาก็ได้ นี่คือความหมายของการ “เข้าใจคนตรงหน้าไม่มากพอ”
เพราะการเข้าใจตัวตนของคนหนึ่งคนจริงๆ จะทำให้คุณเห็นว่าการให้ความหมายของแต่ละคนมีเหตุมาจากอะไร และเป็นผลให้พวกเขาตัดสินใจอย่างไรซึ่งศาสตร์การเรียนรู้คนมีอยู่มากมาย แต่หนึ่งศาสตร์ที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ และหลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกันก็คือ MBTI นั่นเอง

MBTI คืออะไร?
MBTI (Myer-Briggs Type Indicator) คือ แบบทดสอบบุคลิกภาพด้วยตนเองที่ถูกออกแบบโดยนักวิจัยบุคลิกภาพ Katharine Cook Briggs และลูกสาว Isabel Briggs Myers แบบทดสอบ MBTI ได้ถูกแบ่งหัวข้อของบุคลิกภาพออกมาในรูปแบบของตัวอักษร 4 ตัว ที่เมื่อนำตัวอักษรทั้งสี่มาประกอบกันจะกลายเป็นตัวบ่งชี้ลักษณะนิสัยของแต่ละคน ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวจะแสดงถึงหลักการในการทำงานของจิตใต้สำนึกที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อด้วยกัน คือ สภาพแวดล้อม การรับข้อมูล การตัดสินใจ และกระบวนการใช้ชีวิต
Extraversion / Introversion
หัวข้อนี้จะอธิบายว่าคนๆนี้ ได้รับพลังงานจากสภาพแวดล้อมแบบใด ซึ่งหลายๆคนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า Extravert / Introvert ที่มีความหมายเดียวกันมากกว่า
- Extraverts / Extroverts (E)
หลายๆท่านอาจจะคุ้นเคยกันกับคำว่า Extroverts มากกว่า แต่รากศัพท์จริงๆมาจากภาษาลาตินที่คำว่า Extra แปลว่า “ภายนอก/ด้านนอก” จึงกลายเป็นคำว่า Extraverts ที่ใช้กันในทางจิตวิทยา และได้รับการบันทึกในพจนานุกรมของ Oxford อย่างไรก็ตามการใช้คำว่า Extroverts ดูจะเป็นที่นิยมในปัจจุบันมากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำและเข้าง่ายระหว่าง Extro / Intro
คนกลุ่มนี้จะได้รับพลังงานจากการอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆมากมาย พวกเขาจะตื่นเต้นกับการได้พบปะผู้คนและการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น พวกเขาชอบที่จะกระโดดลงไปทำกิจกรรมต่างๆทันทีโดยที่ไม่รอช้าเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์
สำหรับการจัดการปัญหา พวกเขามักจะจัดการกับปัญหาได้ดีถ้าพวกเขาได้พูดสิ่งกวนใจของพวกเขาออกมาตรงๆ กับคนอื่นก็เข่นกัน พวกเขายินดีและอยากที่จะฟังความคิดเห็นของคนตรงหน้า
คนกลุ่มนี้มักจะ
– เป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีเพื่อนฝูง / คนรู้จักมากมาย
– ชอบอยู่กับคนหมู่มาก และทำงานหรือกิจกรรมร่วมกับพวกเขา
– เติมพลังให้ตัวเองและคนรอบข้างด้วยการอยู่กับคนอื่น
– บางครั้งอาจจะทำอะไรโดยที่ไม่คิดให้ถี่ถ้วน ซึ่งบางครั้งก็จะพบว่าตัวเองไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่เพื่ออะไรกันแน่
- Introverts (I)
คนกลุ่มนี้จะรู้สึกว่า ได้เติมพลังจากการอยู่เงียบๆคนเดียว หรืออยู่กับเพื่อนสนิทไม่กี่คน ในสภวพแวดล้อมที่เงียบสงบ พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการจัดการความคิดของตัวเอง พวกเขาให้เวลากับการประเมินและสะท้อนความคิดของตัวเอง เพื่อที่เมื่อเวลาที่จำเป็นจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างมาถึง พวกเขาจะเห็นเป้าหมายและวิธีการของตัวเองอย่างชัดเจน
สำหรับพวกเขาไอเดียและความคิดเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจะจัดการปัญหาจากภายในของตัวเองเสมอ พวกเขาจะใช้เวลาสะท้อนความคิดและความรู้สึกของตัวเองอย่างถี่ถ้วน มากกว่าการระบายให้คนอื่นฟัง และถ้าพวกเขาเลือกที่จะระบายให้ใครสักคนฟัง คนๆนั้นจะต้องสำคัญกับพวกเขามากๆ
คนกลุ่มนี้มักจะ
– เป็นคนที่สงบเงี่ยม หรือเงียบขรึม
– มีสมาธิกับการทำงานคนเดียว หรือการทำงานกับกลุ่มคนที่สนิทกลุ่มเล็กๆ
– อาจจะรู้จักคนมากหรือน้อยก็ได้ แต่จะมีเพื่อนสนิทมากๆจริงๆ อยู่เพียงไม่กี่คน
– เป็นคนใจเย็น ประเมินสถานการณ์และไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้น หรือกำลังจะเกิดขึ้นได้ดี
– ในบางครั้ง อาจจะใช้เวลาในการคิดมากเกินไปจนทำให้ไม่ได้ลงมือ และบางครั้งอาจจะตามความเปลี่ยนแปลงภายนอกไม่ทันเพราะส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

Sensing / Intuition
คุณรับข้อมูลแบบใด? คุณจดจำข้อมูลต่างๆจากพื้นฐานอะไร? ตัวอักษรตัวที่ 2 ในหัวข้อนี้จะอธิบายวิธีการรับและการประเมินข้อมูลจากเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวันของคุณ ซึ่งจะแยกออกมาเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริง และกลุ่มที่มีความคิดสร้างสรรค์
Sensors (S)
พวกเขาให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม หรือก็คือสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส พวกเขาให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน พวกเขามองเห็นข้อเท็จจริงและจดจำรายละเอียดของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น พวกเขาเชื่อว่าประสบการณ์ของคนที่ผ่านเหตุการณ์บางอย่างไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ของตัวเองหรือของคนอื่น มากกว่าคำพูดที่ได้ยิน ดังนั้นพวกเขาจะให้ความสำคัญกับการลงมือทำมากกว่าการสร้างทฤษฎีขึ้นมา นอกจากนี้พวกเขายังให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีประโยชน์และสามารถใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องการเรียนรู้และสิ่งของที่เลือกซื้อ
คนกลุ่มนี้มักจะ
– จดจำสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสาทสัมผัส
– เข้าใจปัญหาและแก้ปัญหาด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริง
– เริ่มกระบวนการคิดจากข้อเท็จจริง และค่อยคิดภาพใหญ่
– ไว้ใจประสบการณ์ของตัวเอง มากกว่าคำพูดและสัญญลักษณ์ต่างๆ
– บางครั้งอาจจะให้ความสัมคัญกับข้อเท็จจริงและประสบการณ์ในอดีตมากเกินไป จนทำให้ไม่เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ
- Intuitives (N)
พวกเขาให้ความสนใจกับการให้ความหมายต่ออะไรบางอย่าง จดจำเหตุการณ์จากสิ่งที่พวกเขาประทับใจ พวกเขามักจะใช้ความคิดในการสร้างทฤษฎีเพื่อแก้ปัญหา มากกว่าที่จะลงมือทำเพื่อหาประสบการณ์ พวกเขาสนใจและหลงไหลในสิ่งใหม่ๆ กับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะยังไม่รู้ว่าสิ่งใหม่ๆเหล่านี้จะเกิดประโยชน์อย่างไรก็ตามที เพราะฉะนั้นพวกเขาจะให้ความสนใจกับอนาคตมากกว่าอดีต
คนกลุ่มนี้มักจะ
– จดจำเหตุการณ์ด้วยการให้ความหมาย มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
– แก้ปัญหาด้วยการมองหาไอเดียและความเป็นไปได้ใหม่ๆ
– สนใจในการทำอะไรที่ใหม่และแตกต่าง
– เริ่มต้นด้วยการมองภาพใหญ่ แล้วค่อยหาข้อเท็จจริง
– ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ การเปรียบเปรย
– บางครั้งพวกเขาคิดถึงสิ่งใหม่ๆมากเกินไป จนไม่ได้ไตร่ตรองให้ชัดเจนว่าเป็นไปได้มากน้อยเพีงใด
Thinking / Feeling
ตักอักษรตัวที่ 3 ที่บ่งบอกถึงวิธีที่คุณใช้ตัดสินใจกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต คุณชอบที่จะตัดสินใจด้วยการใช้ตรรกะประกอบกับข้อเท็จจริงที่คุณรับรู้ หรือคุณให้น้ำหนักกับความรู้สึกส่วนตัวของทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้าง
ถึงแม้ว่าหัวข้อนี้จะแบ่งแยกอย่างขัดเจนว่าคนกลุ่มหนึ่งใช้เหตุผลและตรรกะ ส่วนคนอีกกลุ่มใช้อารมณ์และความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ใช้ตรรกะจะต้องเป็นคนฉลาดเสมอไปและคนเหล่านี้จะไร้ซึ่งอารมณ์ เช่นเดียวกันกับคนที่ใช้ความรู้สึกตัดสิน ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้จะเจ้าอารมณ์ตลอดเวลาและไร้ซึ่งความสามารถใจการวิเคราะห์ใดๆ
ทุกคนล้วนแต่มีส่วนประกอบของทั้งสองหัวข้ออยู่ในตัวเอง และเลือกใช้สองสิ่งนี้สลับไปมาในชีวิตประจำวันเสมอ หัวข้อนี้เพียงแค่ให้ความหมายกับสิ่งที่คนแต่ละประเภทให้ความสำคัญมากกว่าเท่านั้น
- Thinkers (T)
ก่อนจะตัดสินใจ พวกเขาจะต้องการข้อมูลและทฤษฎีที่สมเหตุสมผลกับผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม พวกเขาชอบที่จะเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงเสมอก่อนตัดสินใจ ดังนั้นการตัดสินใจจะมาจากตรรกะและเหตุผลเหล่านี้เป็นหลัก พวกเขาจะพยายามไม่ใช้ความรู้สึกหรือความต้องการส่วนตัวของตัวเองและคนรอบข้างมามีผลกระทบกับการตัดสินใจของพวกเขา
คนกลุ่มนี้มักจะ
– ชอบการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่หาตรรกะอ้างอิงได้
– มองเห็นความไม่สม่ำเสมอของบางสิ่งบางอย่าง เพราะถ้ามันถูกต้องตามหลักการ ผลลัพธ์ที่ได้ควรจะต้องเสมอต้นเสมอปลาย เหมือนที่ 1+1 ยังไงก็เท่ากับ 2 อยู่วันยันค่ำ
– มองหาคำอธิบายและเหตุผลในทุกๆเรื่อง
– พวกเขาใช้ความคิดตัดสินใจ และต้องการให้ผลลัพธ์ออกมายุติธรรม
– เชื่อว่าการบอกความจริงไปตรงๆ ดีกว่าการพูดอ้อมค้อมเพราะเกรงใจ หรือเพื่อรักษาความรู้สึก
– บางครั้งอาจจะลืมคิดถึงคนอื่นในการตัดสินใจแต่ละครั้ง แต่นั่นก็เพื่อที่จะให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดกับทั้งสองฝ่ายในแบบที่เขาเข้าใจ
– ถูกมองว่าตรรกะจัด และไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น
- Feelers (F)
พวกเขาเชื่อว่า การตัดสินใจที่ดีที่สุดมาจากการรวมกันของสิ่งที่สำคัญสำหรับคนรอบข้าง และมุมมองของคนที่มีส่วนเกี่ยวช้องกับเรื่องนั้นๆ พวกเขาใส่ใจและพยายามทำให้การตัดสินใจนี้ส่งผลดีต่อความรู้สึกของคนทั้งสองฝ่าย และพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้
คนกลุ่มนี้มักจะ
– สามารถสื่อสารกับคนได้ดี
– ให้ความสำคัญกับบรรยากาศที่ดีในกลุ่มสังคมต่างๆ และจะวิตกกังวลถ้าบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปในเชิงลบ
– มองหาและให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนรอบตัวให้ความสำคัญ
– ใช้หัวใจตัดสินใจ และเห็นอกเห็นใจกับผู้อื่นเสมอ
– การรักษาความรู้สึกย่อมสำคัญกว่าการบอกความจริงที่โหดร้าย
– บางครั้งการใส่ใจความรู้สึกของพวกเขา ทำให้มองไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า
– ถูกมองว่าโลกสวย เยาะแยะ และพูดจาอ้อมค้อม
Judging / Perceiving
ตัวอักษรตัวสุดท้ายคือสิ่งที่บ่งบอกว่า พวกเขาจัดการชีวิตของตัวเองอย่างไร และมีกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตอย่างไร? การกระทำและลักษณะนิสัยของพวกเขาที่คนอื่นเห็นเป็นอย่างไร พวกเขาเป็นคนที่วางแผนอย่างชัดเจน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพวกเขาเป็นระเบียบและผ่านการตัดสินใจที่ดีมาแล้ว หรือพวกเขาเป็นคนยืดหยุ่นที่ปล่อยให้ชีวิตนำพาพวกเขาไปพบเจอกับอะไรก็ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนลอยจากกระแสชีวิตไปเรื่อยๆ แต่พวกเขาพร้อมที่จะแก้ปัญหาตรงหน้าเสมอ และทำได้ดีเสียด้วย
- Judgers (J)
พวกเขาจัดการชีวิตด้วย การตัดสินใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน (ไม่ว่าจะด้วยการเป็น Thinker หรือ Feeler ก็ตาม) คนอื่นจะมองว่าพวกเขาเป็นระเบียบ และมีความชัดเจนในการดำเนินชีวิต พวกเขาอุ่นในเมื่อได้ข้อสรุปกับสิ่งต่างๆ และต้องการให้ชีวิตของพวกเขาอยู่ในการควบคุมของตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ดังนั้นพวกเขาจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตเป็นสำคัญ พวกเขายอมแลกความสบายในวันนี้เพื่อเป้าหมายของตัวเองในอนาคตได้ พวกเขาสามารถผลักดันตัวเองให้สร้างผลลัพธ์ในสถานการณ์หรือสภาวะที่ตึงเครียดได้
คนกลุ่มนี้มักจะ
– ชอบให้ทุกอย่างถูกตัดสินอย่างชัดเจน
– ให้ความสำคัญกับการวางแผนและการทำตามแผน
– ทำงานสำคัญกว่าการผ่อนคลายเสมอ และจะไม่ชอบสถานการณ์ไฟลนก้นก่อนกำหนดส่ง
– บางครั้งพวกเขาจดจ่อกับเป้าหมายมากเกินไป จนทำให้พลาดข้อมูลใหม่ๆในปัจจุบัน
– บางครั้งพวกเขาอาจจะมองข้ามสิ่งสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปัจจุบัน เพราะพวกเขาจดจ่อกับการมองอนาคต

- Perceivers (P)
พวกเขาเป็นคนที่ยืดหยุ่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นนักปรับตัว พวกเขาใช้การรับข้อมูล (ไม่ว่าจะเป็นการรับข้อมูลของ Sensors หรือ Intuitives ก็ตาม) และปรับตัวตามข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาตลอดเวลา คนอื่นมักจะมองว่าพวกเขาเป็นคนง่ายๆ ที่อาจจะไม่ได้วางแผนอะไรชัดเจน แต่ปรับตัวเก่ง และเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ และคนอื่นมักจะกล้าเสมอความคิดเห็นกับพวกเขา เพราะพวกเขาเปิดรับกับความคิดเห็นใหม่ๆเสมอ
ดังนั้นปัจจุบันสำคัญกับพวกเขา ดังนั้นสมดุลย์ระหว่างการทำงานและการผ่อนคลายจะมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ พวกเขาจะสามารถรักษาสภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ดีเยี่ยม ถึงแม้ว่าสถารการณ์อาจจะตึงเครียดก็ตาม
คนกลุ่มนี้มักจะ
– เปิดรับข้อมูลเสมอ และปรับตัวตามข้อมูลที่ได้รับตลอดเวลา
– พวกเขาเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ที่ไม่ได้ชอบวางแผนมากนัก
– Work life Balance หรือสมดุลย์ของชีวิตสำคัญกับพวกเขามาก Work hard player harder!
– พวกเขาทำงานได้รวดเร็ว เพราะพวกเขาจะหา Flow การทำงานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ดี แต่ก็ไม่ได้ทำงานตลอดเวลา เพราะการผ่อนคลายก็คือการจัดการอารมณ์อย่างหนึ่งของพวกเขา
– ยิ่งใกล้กำหนดส่งยิ่งมีไฟ
– บางครั้งพวกเขาปรับตัวมากเกินไป จนทำให้หลายๆอย่างไม่ชัดเจน
ทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายอย่างย่อเท่านั้นในแต่ละหัวข้อของ MBTI ซึ่งคุณสามารถอ่าน และสังเกตตัวเองได้ว่า ในแต่ละหัวข้อ คุณเอนเอียงไปทางใดมากกว่ากัน หลังจากนั้นก็นำตัวอักษรที่กำกับอยู่ในแต่ละหัวข้อมาประกอบกันตามลำดับ ก็จะได้เป็น Type ในแบบของคุณเอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกข้อใดข้อหนึ่งในแต่ละหัวข้อ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีอีกด้านหนึ่งของแต่ละหัวข้อเลย ยกตัวอย่างเช่น ในหัวข้อแรกเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ชอบ
– นาย A ชอบที่จะทำงานเงียบๆคนเดียว ชอบงานที่ติดต่อกับคนอื่นน้อยๆ ทำเองอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ยิ่งได้ทำงานที่บ้านยิ่งดี แต่เมื่อถึงเวลาพักผ่อน นาย A ชอบที่จะนัดกับเพื่อนฝูงและออกไปสังสรรค์กันยิ่งคนเยอะยิ่งมันส์ ยิ่งได้เจอคนใหม่ๆยิ่งสนุก
– นาย B ชอบที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น ชอบงานที่พบปะผู้คนเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบริการ งานสอน งานกิจกรรมต่างๆ หรือถ้าเป็นงานออฟฟิศทั่วไปก็จะชอบทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่กับคนเยอะๆในองค์กร หรือถ้าจะต้องทำงานนอกสำนักงานก็จะพาตัวเองออกมาทำงานตามร้านกาแฟเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาพักผ่อน นาย B ชอบที่จะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ดูหนังเพลินๆอยู่ในห้อง หรือหลบออกไปเที่ยวที่ทะเล หรือภูเขาที่ไม่ต้องพบเจอผู้คนมากมาย อาจจะไปคนเดียวหรือคนสำคัญแค่ 1-2 คนก็ได้
เพราะฉะนั้นจงอย่าตัดสินคนตรงหน้าด้วยตัวเลือกเหล่านี้ 100% ศาสตร์ MBTI นี้เป็นเพียงการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นภายในของแต่ละคน เพื่อให้คุณเข้าใจคนสำคัญข้างกายคุณได้มากขึ้นในด้านต่างๆ ว่าพวกเขาชอบสภาพแวดล้อมแบบไหน บางคนที่เพิ่งจะรู้จักศาสตร์นี้อาจจะเพิ่งถึงปางอ้อว่า “อ๋อ ถึงว่าทำไมแฟนฉันมันชอบไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟจริงๆ ทั้งๆที่อยู่บ้านก็ได้แท้ๆ” ก็ได้ เมื่อคุณเข้าใจทั้ง 4 หัวข้อนี้แล้ว คุณลองสังเกตคนสำคัญของคุณดู หรือถ้าจะให้ดี ถามเขาไปเลยก็ได้ จะส่งบทความนี้ให้อ่าน แล้วก็ให้เขาเลือกว่าหัวข้อไหนชอบอะไรมากกว่ากัน หรือจะให้ทำแบบทดสอบออนไลน์ที่หาได้ง่ายก็ได้ และหลังจากที่ได้ผลทดสอบ คุณก็สังเกตได้ง่ายๆว่าตัวอักษรแต่ละตัวของคนสำคัญของคุณ มีความหมายอย่างไรบ้าง
ดังนั้นในช่วงวิกฤตที่ต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัว การรักษาความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึง เพราะความสัมพันธ์แต่ละประเภทเกิดขึ้นเพื่อให้ประโยชน์อะไรบางอย่างกับคนที่มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์เหล่านั้นทั้งสิ้น บางครั้งก็เกิดขึ้นเพื่อถ่วงสมดุลย์ให้กับกันและกัน บางครั้งก็เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนเกื้อกูลกับ บางครั้งก็เกิดขึ้นเพื่อผลักดันกันและกัน สุดท้ายแล้วความสวยงามจามความสัมพันธ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่า “เราเป็นคนเหมือนกัน แต่เป็นคนไม่เหมือนกัน”
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599