Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

...วิธีสร้าง แรง ผลัก ดัน สู่เป้าหมาย...

           ” เป้าหมาย ” คือปัจจัยสำคัญหนึ่งปัจจัยที่เป็น แรง ผลัก ดัน ให้คนหนึ่งคนลงมือกระทำบางสิ่ง เพื่อผลลัพธ์ที่เขาต้องการ ซึ่งถ้าหากว่าเราพูดถึงเป้าหมายเชิงนี้ หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงการตั้งเป้าหมายในการทำงาน การตั้งเป้าหมายในชีวิต แต่จริง ๆ แล้ว การสร้าง แรง ผลัก ดัน อีกรูปแบบที่อยู่กับเราในทุก ๆ ช่วงชีวิตของทุกคน ตอนยังเล็กหลาย ๆ คนอาจจะเคยตั้งเป้าหมายในการอ่านหนังสือสำหรับเด็กง่าย ๆ วันละหนึ่งเล่ม เพราะคุณพ่อคุณแม่ตั้งรางวัลเอาไว้ให้ โตมาสักหน่อยอาจจะเป็นเป้าหมายเรื่องผลการเรียนที่ถ้าหากว่าได้ผลการเรียนตามเป้าก็จะได้รางวัล เป็นต้น

             ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในทุกช่วงชีวิตของเรามักจะมี “ เป้าหมาย “ บางอย่างมาผลักดันให้เราสร้างผลลัพธ์บางอย่างตลอดเวลา แน่นอนว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ บางคนอาจจะล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน หรือบางคนอาจจะกำลังติดปัญหาบางอย่างอยู่ ซึ่งได้จะให้พูดแล้วก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร เพราะบางครั้งการล้มเลิกความตั้งใจก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาถอดใจ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเจอเป้าหมายอันใหม่ที่น่าดึงดูดมากกว่าก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาอาจจะตัดสินได้ว่าเป้าหมายที่พวกเขากำลังตามอยู่มัน “ ไม่คุ้มค่า “ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน

             แต่สำหรับคนที่กำลังฝ่าฟันกับปัญหาเพื่อเป้าหมายบางอย่างอยู่ กำลังสู้กับอุปสรรคที่กำลังเจออยู่รอบตัวอยู่ อาจจะอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมบางคนถึงบรรลุเป้าหมายได้ “ ง่าย “ เสียเหลือเกิน ทำไมพวกเขาถึงดูไม่ต้องพยายามอะไรมากมายก็สามารถทำเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องท้าทาย เป็นเรื่องที่ต้องบังคับตัวเองทำได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ในขณะที่สำหรับเรากิจกรรมบางอย่างเราก็อาจจะต้องบังคับฝืนใจตัวเองสุด ๆ กว่าจะลุกขึ้นไปจัดการกับมันได้ และบ่อยครั้ง เรามักจะรับรู้สิง่ที่เราขาดไปเสียด้วยว่า “ ถ้าฉันสามารถ…. ได้นะ เป้าหมายสำเร็จแน่นอน “ แต่ประเด็นก็คือเรามักจะจบด้วยการรู้สึกแย่กับตัวเองที่ไม่สามารถบังคบตัวเองให้ลงมือทำได้จริง ๆ

               แต่ในเมื่อเป้าหมายก็คือแรงผลักดันอย่างหนึ่ง แล้วถ้าหากว่าเป้าหมายนั้นไม่สามารถกระตุ้นให้เราลงมือทำได้จริง ๆ หรือกระตุ้นให้เราลงมือทำอย่างต่อเนื่องนานพอจนเกิดเป็นผลลัพธ์ได้ แสดงว่าแรงผลักดันนั้นไม่พออย่างนั้นหรือ ? แล้วอะไรที่จะทำให้เรามีแรงผลักดันมากพอที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จได้ ?

             คำตอบของการสร้างแรงผลักดันก็คือ “ จิตใต้สำนึก “ ของเรานั่นแหละที่จำสร้างแรงผลักดันที่มากพอจนทำให้เราสามารถสร้างผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้ เพราะจิตใต้สำนึกที่อุดมสมบูรณ์ จะทำให้เราพุ่งเข้าใจเป้าหมายได้โดยที่แทบจะไม่รู้สึกว่าเรากำลังออกแรงอยู่เลย หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าจิตใต้สำนึกมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างแรงผลักดันได้อย่างไร ดังนั้นเราลองมาเริ่มต้นกันด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์กันก่อนดีกว่า

 พฤติกรรมสร้าง แรง ผลัก ดัน

             เพราะเราต้องการแรงผลักดันเพื่อกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดหวังเอาไว้ เช่น ถ้าหากว่ามีเป้าหมายด้านรูปร่าง อยากจะจัดการกับน้ำหนักของตัวเอง พฤติกรรมที่หลาย ๆ คนคาดหวังกันก็คือพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปใบทางที่ดี และพฤติกรรมการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอมากขึ้น หรือถ้าหากว่ามีเป้าหมายอยากจะมีเงินเก็บ อยากจะสร้างตัว พฤติกรรมที่อยากจะให้เกิดขึ้นก็คงจะเป็นพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป การทำบัญชีจัดการค่าใช้จ่ายของตัวเอง ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมบางอย่างก็คือความเชื่อนั่นเอง

ความเชื่อที่ส่งผลต่อ แรง ผลัก ดัน

             ความเชื่อเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดพฤติกรรมของเราในทุก ๆ ช่วงเวลา ลองสังเกตง่ายกับคำว่าความเชื่อในแบบที่ทุกคนเข้าใจก็ได้ ถ้าหากว่าลองสังเกตดูคนที่มีความเชื่อบางอย่างจะคิดและปฏิบัติบางอย่างตามความเชื่อของตัวเองเสมอ เช่น บางคนที่มีความเชื่อเรื่องเจ้าที่เจ้าทางเวลาที่พวกเขาไปพักต่างสถานที่ พวกเขาจะไม่ลืมที่จะไว้เจ้าที่ก่อนเสมอ แต่คนที่ไม่ได้มีความเชื่อเดียวกันก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรเวลาที่ต้องไปนอนต่างที่ ก่อนจะเข้าใจผิดประเด็นกันเราไม่ได้ยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรหรือไม่ควร เพียงแค่ต้องการจะยกตัวอย่างของความเชื่อที่ส่งผลกับพฤติกรรมของเราเท่านั้น ซึ่งการกำหนดพฤติกรรมในลักษณะนี้มีอยู่ในทุก ๆ มิติของชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน เรื่องชีวิตรัก การทำงาน เพื่อนฝูง ฯลฯ ถ้าคุณลองสังเกตดี ๆ เกือบทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครบอกสักคนว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยุ่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนสำเร็จไม่เคยพูดว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาล้วนเห็นหนทางที่พวกเขาต้องเดินไปทั้งนั้น เพราะเขาเชื่อว่า “ เขาทำได้ “

             ถ้าหากว่าคุณเชื่อว่าตัวเองจะหุ่นดีสุขภาพแข็งแรงได้ คุณก็จะเชื่อว่าการกินอาหารอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าหากว่าคุณเชื่อว่าคุณเป็นคนที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลได้ คุณก็จะมองเห็นลุ่ทางการทำมาหากินในแบบที่เหมาะกับคุณออก ถ้าคุณเชื่อว่าคุณจะสามารถมีคู่ชีวิตที่ดีและมีชีวิตคู่ที่มีความสุขได้ คุณก็จะพาตัวเองไปเจอคู่ชีวิตของคุณจนได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าคุณมองไม่ออกเลยว่าตัวเองจะมีรูปร่างที่ดีได้อย่างไร คุณก็จะมองเห็นแต่อุปสรรคในการดูแลตัวเอง เพราะคุณเชื่อว่ารูปร่างที่ดีเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคุณก็เลยหาเหตุผลมารองรับความเชื่อของคุณได้ “ ไม่มีเวลา “ , “ อุปกรณ์ไม่พร้อม “ , “ ดูแลตัวเองเปลืองเงิน “ ฯลฯ ทำนองเดียวกับการหาเงินและการมีชีวิตคู่ ถ้าคุณมองว่าเงินทองเป็นเรื่องหายาก คุณก็จะมองเห็นแต่ลู่ทางที่ไม่ได้สร้างรายได้ให้คุณได้ดีเท่าที่ควร และต่อให้โอกาสมาอยุ่ตรงหน้าคุณ คุณก็อาจจะหันหนีมัน เพราะว่ามันดูง่ายเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ หนทางที่จะได้เงินมาง่าย ๆ มันขัดกับความเชื่อของคุณทำให้คุณไม่ยอมรับมันเองโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ความเชื่อของเราก็ไม่ได้เปลี่ยนง่ายขนาดนั้น เพราะหลายคนพอได้ยินแบบนี้แล้วก็อาจจะพูดว่า “ อ่ะเนี่ย ผมเชื่อว่าเงินหาง่ายแล้ว ไหนเงินผมล่ะ ? “ เพราะความเชื่อ เกิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในอดีตที่เป็นตัวกำหนดให้เรามองเห็นโลกในแบบที่เราเข้าใจนั่นเอง

 ประสบการณ์

             หลาย ๆ คนก็คงจะเคยได้ยินหรือเคยพูดติดปากว่า “ ประสบการณ์สอนมา “ กันบ้าง เพราะประสบการณ์ในอดีตเป็นตัวที่กำหนดว่าเรา “ เชื่อ “ อะไร ประสบการณ์ที่มีผลกับเรามาก ๆ จะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกของเรา และเป็นตัวกำหนดความเชื่อของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าในอดีตเราเห็นครอบครัวเรามีปัญหา มีการใช้ความรุนแรง ลูกสาวเห็นคุณพ่อลงไม้ลงมือกับคนที่บ้าน ก็เข้าใจว่าผู้ชายทุกคนต้องเป็นแบบนั้น นี่เป็นเรื่องปกติที่ชีวิตคู่จะต้องเจอ และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจอแต่คนรักที่ใช้กำลัง ลงไม้ลงมือก็ได้ นั่นเพราะว่าเธอจะมองเห็นแต่ผู้ชายที่ใช้กำลังเท่านั้นเป็นตัวเลือกในการเป็นคู่ครอง ผู้ชายแบบอื่นไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของเธอ  ซึ่งฟังแล้วอาจจะดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ความเชื่อที่เกิดขึ้นในจิตใต้สำนึกมันเกิดขึ้นแบบไม่สมเหตุสมผลแบบนี้จริง ๆ เพราะจิตใต้สำนึกของเรานั้นอยู่นอกเหนือกำแพงของเหตุและผล ซึ่งตรงนี้ถ้าหากใครอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อสามารถไปอ่านบทความเกี่ยวกับความเชื่อและจิตใต้สำนึกเพิ่มเติมได้

                จากที่อธิบายมา 4 หัวข้อ ก็น่าจะพอเห็นภาพกันบ้างแล้วว่า “ จิตใต้สำนึก “ มีผลกับการวิ่งไปหาเป้าหมายอย่างไร เพราะประสบการณ์จะทำให้เราเกิดความเชื่อบางอย่าง และความเชื่อของเราจะกำหนดอารมณ์และพฤติกรรม และแน่นอนว่าพฤติกรรมของเราเองนั่นแหละที่จะเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์ที่เราจะได้

             ดังนั้นการสร้างจิตใต้สำนึกที่อุดมสมบูรณ์ สร้างจิตใต้สำนึกที่สนับสนุนให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายและได้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ คือคำตอบของข้อสงสัยเบื้องต้นว่า ทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จได้ง่ายดายเหลือเกิน ทำไมบางคนดูจะทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้ ทำไมบางคนถึงจัดการปัญหาได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย นั่นเพราะว่าเขาใช้เทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้ในการสร้างจิตใต้สำนึกที่ดีให้กับตัวเองนั่นเอง ซึ่ง เทคนิคง่าย ๆ ที่ว่าก็คือ  “ Incantation “

Incantation

             เทคนิคนี้จะช่วยสร้างจิตใต้สำนึกที่ดีให้คุณได้ ด้วยการ “ จำลอง “ ภาพของความสำเร็จนั้นชึ้นมาในหัวของคุณ ซึ่งภาพในหัวที่คุณสร้างขึ้นนั่นแหละที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนความเชื่อของคุณให้เป็นไปในแบบที่คุณต้องการ ทุกคนน่าจะต้องเคยผ่านประสบการณ์ที่เห็นผลลัพธ์อะไรบางอย่างชัดเจนมาก ๆ จนขนลุกขึ้นมา จนเนื้อเต้นนั่งเฉย ๆ ไม่ไหวจนอยากจะไปทำอะไรบางอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ทันที นี่ไม่ใช่เรื่องจิตนาการเพ้อฝันแต่นี่เป็นสิ่งที่คนสำเร็จทุกคนพูดได้เป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนมาก ๆ ที่เหลือก็แค่ลงมือทำ และเมื่อพวกเขารู้ตัวอีกทีชีวิตของพวกเขาก็เป็นไปแบบที่พวกเขาหวังแล้ว ซึ่งเทคนิคนี้มีขั้นตอนง่าย ๆ เพียงแค่ 3 ชั้นตอน ก็คือ

 1. เปลี่ยนภาพในหัว

             ไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าคุณเห็นภาพในหัวของคุณชัดเจนว่า ความสำเร็จของคุณเป็นอย่างไร ถ้าคุณอยากได้รถในฝันคุณจะต้องมองเห็นภาพแบบชัดเจนจนคุณแทบจะสัมผัสได้เลยว่าการนั่งอยู่เบาะที่นั่งคนขับหลังพวงมาลัยของรถคนนั้นเป็นอย่างไร บางคนถึงกับเอาตัวเองเข้าไปลองนั่งและซีมซับความรู้สึกที่ได้นั่งรถคันนั้นจริง ๆ หรือถ้าหากว่าคุณอยากจะมีรูปร่างที่ดี คุณจะต้องเห็นภาพจริง ๆ ว่ารูปร่างในฝันนั้นจะให้ประโยชน์อะไรกับคุณบ้าง คุณจะใส่เสื้อตัวโปรดแล้วดูดีขึ้นเป็นกอง คุณจะมั่นใจมากขึ้น หรือคุณอาจจะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสนใจคุณได้มากขึ้น

             จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า คุณต้องชัดเจนจริง ๆ ว่าคุณต้องการอะไร เพราะถ้าหากว่าคุณบอกว่าคุณต้องการเงิน ไปถามใครก็คงจะตอบว่าต้องการเงินกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนจะพร้อมลงมือทำบางอย่างเพื่อได้เงินจริง ๆ แต่ถ้าหากว่าคุณมีเป้าหมายชัดเจนว่า ยังไงคุณก็จะต้องเป็นเจ้าของรถคันนั้นให้จงได้ คุณสัมผัสมาแล้วว่าความรู้สึกหลังพวงมาลัยนั้นมันวิเศษแค่ไหน คุณก็จะพาตัวเองเข้าไปหาเป้าหมายนั้นได้เอง ซึ่งจะสังเกตได้ว่าคนที่ดิ้นรนคนที่ “ ไม่มีไม่ได้ “ จะเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ให้ตัวเองได้มากกว่าคนที่ไม่มีเป้าหมายทั้งสิ้น ซึ่งคำว่า “ ไม่มีไม่ได้ “ ก็ไม่ได้มีความหมายเชิงลบที่เกี่ยวกับหนี้สินเสมอไป ความ “ ไม่มีไม่ได้ “ สำหรับคุณก็อาจจะต่างออกไปก็เป็นได้

2. เปลี่ยนกายภาพ

             นอกจากภาพในหัวแล้ว ภาษากายของเราก็เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความเชื่อที่ดีขึ้นมาได้ เพราะการจัดระเบียบกายภาพของเรามีผลเกี่ยวกับจิตใจของเราโดยตรง ทุกคนน่าจะเคยเห็น Victory pose ที่นักกีฬาทุกคนทำเมื่อได้ชัยชนะ Pose ที่เป็นการยืนขึ้นตรง สองมือกำแน่นแล้วขูขึ้นฟ้า พร้อมกับร้องตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจ นั่นเป็นท่าทางที่บ่งบอกถึงชัยชนะ บ่งบอกถึงความสำเร็จ เคยมีงานวิจัยว่าท่าทางนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เห็นแล้วทำตาม แต่เป็นสัญชาตญาณของเราจริง ๆ เพราะเคยมีการสังเกตการคนที่ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แสดงท่า Victory pose นี้ออกมาในตอนที่พวกเขาพิชิตความท้าทายบางอย่างได้ นั่นทำให้เห็นว่าคนที่ไม่เคยเห็นใครทำท่านี้ในชีวิตเลยกลับแสดงท่าทางนี้ออกมาในตอนที่ตัวเองทำสำเร็จ นั่นเลยทำให้นักวิจัยสามารถระบุได้ว่า ท่าทางแบบนี้อยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์เราจริง ๆ  แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่ต้องทำท่า superman แบบนี้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลาก็ได้ แต่คุณอาจจะต้องระวังเรื่องการเดินคอตก นั่งไหล่ห่อ พูดเสียงเบา ซึ่งกฤติกรรมแบบนี้จะทำให้คุณมั่นใจน้อยลง พลังของคุณก็จะตกลงไปด้วย

 3. เปลี่ยนคำพูด

             เมื่อคุณมีภาพในหัวที่ชัดเจนแล้ว คุณอยู่ในท่าทางที่เหมาะสมแล้ว สุดท้ายก็คือคำพูดที่คุณพูดกับตัวเองออกมานั่นแหละ ลองนึกย้อนกลับไปดูทุกคนน่าจะเคยเจอเพื่อนหรือคนรู้จักที่บอกว่า “ ฉันดูดี “ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่ารูปร่างของเขาอาจจะไม่ได้ถูกใจทุกคน แต่เพราะว่าพวกเขาบอกและพูดอยู่ตลอดเวลาว่า “ ฉันสวย “ “ ฉันหล่อ “ เมื่อคุณอยู่กับพวกเขาไปนาน ๆ แล้ว เมื่อคุณรู้สึกตัวอีกทีคุณจะมองไปเรียบร้อยแล้วว่า พวกเขาสวยหล่อจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกคุณอาจจะไม่ได้มองแบบนั้นก็เป็นได้ นี่เป็นพลังของคำพูด ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าคำพูดน่ะแค่พูดใคร ๆ ก็ทำได้ จะแก้ความเชื่อได้จริงหรือ ? ถ้าพูดครั้งเดียวก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ถ้าพูดหลาย ๆ ครั้งเข้า พูดด้วยความมั่นใจ เพื่อนคนที่คุณจำได้ว่าเอาแต่พูดว่าตัวเองดูดี ก็ไมได้พูดแค่ครั้งเดียว จริงไหม ?

           เมื่อเอาสามอย่างนี้มาประกอบกันคุณสามารถเอาเทคนิคนี้มาใช้ปรับความเชื่อให้กับตัวเองในทุก ๆ วันในเวลาส่วนตัวของคุณก็ได้ เพียงแค่คุณยืนในท่า Victory pose และจินตนาการภาพที่คุณต้องการ พร้อมกับพูดออกมาสุดเสียงด้วยประโยคที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณทุกเช้า จะรอบเดียว จะสามรอบ หรือจะสิบรอบก็แล้วแต่คุณเลย ถ้าหากว่าคุณอยากจะได้รถในฝันของคุณ จงนึกภาพหลังพวงมาลัยนั้นเอาไว้ให้ดี ยืนตรงกำมือแล้วชูขึ้นมา พร้อมกับพูดเสียงดังว่า “ ฉันจะต้องได้ขับมัน ! “ “ ฉันทำได้ ! “ ซึ่งคำพูดเหล่านี้คุณสามารภเลือกมาใช้กับตัวเองได้ตามเป้าหมายที่คุณต้องกานเลย

 Script สำหรับ Incantation ที่ดี

        ถ้าหากว่าคุณอยากมีธุรกิจส่วนตัว เริ่มต้นธุรกิจอยู่ หรือกำลังมองหา Passion ของตัวเองอยู่

  • ฉันมีความสุขกับการทำงานที่ฉันรัก
  • ยิ่งฉันสร้างคุณค่าได้มาก มูลค่าในตัวฉันยิ่งเพิ่มมากขึ้
  • ฉันรู้ว่ารักอะไร รู้ว่าชอบทำอะไร รู้ว่าเกลียดอะไร รู้ว่าอยากจะพัฒนาด้านไหน มั่นใจว่าทำได้ ทำตามสิ่งที่ฉันรัก เพราะสิ่งที่ฉันรักจะทำให้ฉันประสบความสำเร็จ

 

         ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากว่าคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังวิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเองอยู่ ลองเอาเทคนิคนี้ไปปรับใช้ดู เชื่อว่าจะใช้เวลาทุก ๆ เช้าของคุณไม่เกิน 3 นาทีอย่างแน่นอน แต่การันตีได้เลยว่า 3 นาทีที่เกิดขึ้นทุกวัน ๆ จะเป็น 3 นาทีของทุกเช้าที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนชีวิตของคุณไปทีละเล็กละน้อยโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line : @LifeEnricher

Facebook: TheLifeEnricher

โทร: 02-017-2758, 094-686-6599

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า