
สะกดจิตบำบัด เพิ่มยอดขายได้จริงไหม ?
องค์กรหรือบริษัทก็เปรียบเสมือนกับยานพาหนะที่เคลื่อนที่โดยที่มีเป้าหมายเป็นเหมือนเส้นชัย และในการที่ยานพาหนะจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ระบบภายในและองค์ประกอบทุกอย่างก็จำเป็นที่จะต้องทำงานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับทีมงานของคุณในองค์กรที่แต่ละคนแต่ละแผนกมีความสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรทุกคน และหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่จะทำให้องค์กรพัฒนาต่อไปได้ก็คือ “ ฝ่ายขาย “ หรือแผนกเซลล์ ( Sales ) นั่นเอง
ความสำคัญของฝ่ายขายก็คงจะไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ ฝ่ายขายเป็นแรงงานสำคัญที่จะสร้างรายได้ให้กับองค์กร ถ้าหากว่าสินค้าดี อุดมการณ์ดี กลยุทธ์ดี แต่ว่าฝ่ายขายไม่สามารถปิดการขายให้กับลูกค้าได้แล้วละก็ รายได้จะไม่เกิดขึ้นในทันที เซลล์จึงเป็นเหมือนกันด่านหน้าขององค์กรในการนำเสนอสินค้า ติดตามลูกค้า และปิดการขายให้สำเร็จ ทำให้หลาย ๆ องค์กรเลือกที่จะพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์นั่นเอง
เมื่อพูดถึงการพัฒนาความสามารถและทักษะสำหรับพนักงานขายแล้วนั้นก็คงจะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่จำเป็นจะต้องมีด้วยกันไม่ว่าจะเป็น องค์ความรู้ในตัวสินค้าของบริษัท ทักษะการสื่อสารและการวางตัวที่เหมาะสม ฯลฯ และหนึ่งในอง์ประกอบที่สำคัญก็คือ “ ทัศนคติ “ ที่เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าการปรับทัศนคติก็คงจะเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร แต่ข่าวดีก็คือเรามีเครื่องมือที่จะช่วยทำให้การเปลี่ยนทัศนคติอย่างมีประสิทธิภาพอยู่ และเครื่องมือที่ว่านั่นก็คือ “ การสะกดจิตบำบัด “
สะกดจิตคืออะไร ?
ก่อนอื่นอยากจะให้ลืมภาพของการสะกดจิตด้วยการแกว่งนาฬิกาไปมาหน้าคนไข้ หรือการใช้ภาพหมุนวนซ้ำ ๆ เพื่อทำให้คนตรงหน้าอยู่ภายใต้การควบคุมหรือคำสั่งของเราได้เลย เพราะการสะกดจิตที่เรากำลังจะพูดถึงกันก็คือ “การสื่อสาร “ กับจิตใต้สำนึกของเราต่างหาก
เดิมทีแล้วศาสตร์การสะกดจิตในประวัติในอดีตยาวนานมากว่า 5,000 ปี ช่วงนั้นในอียิปต์มีวิหารที่ชื่อว่า Sleeping temple ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เหล่านักบวชพาผู้ป่วยมานอนขอพรจากพระเจ้าให้โรคภัยไข้เจ็บหายไป ในสมัยนั้นไม่มีวิทยาศาสตร์มารับรองการรักษาด้วยวิธีนี้ แต่ในเมื่อวิธีการรักษาลักษณะนี้ถูกใช้อย่างต่อเนื่องในยุคสมัยนั้นได้ แสดงว่าก็ต้องมีคนที่ได้ประโยชน์จากพิธีกรรมการรักษารูปแบบนี้พอสมควร เวลาล่วงเลยมาในอดีตที่ไม่ได้ไกลมากนัก เริ่มมีนายแพทย์ชาวออสเตรียท่านหนึ่งชื่อว่า เมสเมอร์ เริ่มเอาศาสตร์การสะกดจิตบำบัดมาใช้ในทางการแพทย์ แต่การรักษาในลักษณะนี้ก็ไม่ได้คงอยู่นานเท่าไหร่นัก เพราะนายเมสเมอร์ยังไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายการทำงานของกระบวนการรักษาด้วยการสะกดจิตบำบัดได้
ในเวลาต่อมา นาย มิลตัน อีริคสัน เริ่มทำการศึกษาและวิจัยการสะกดจิตบำบัดอย่างจริงจัง และเขาได้ผลสรุปออกมาเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า ความคิดและความเชื่อบางอย่างที่ฝังอยู่ในความทรงจำส่วนลึก หรือที่เราเรียกกันว่า “ จิตใต้สำนึก “ ของมนุษย์นั้น เป็นตัวกำหนดให้มนุษย์มี “ มุมมอง “ ต่อความเป็นจริงของโลกที่แตกต่างกันออกไป และการเปลี่ยนข้อมูลที่ถูกจดจำในจิตใต้สำนึก จะสามารถเปลี่ยนมุมมองของคนหนึ่งคนที่มีต่อโลกได้อย่างมีนัยยะ และเครื่องมือที่สามารถใช้ “ สื่อสาร “ หรือ “ ป้อน “ ข้อมูลเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งก็คือ การสะกดจิตบำบัดนั่นเอง ซึ่งความลับของการสะกดจิตบำบัดก็คือ เทคนิคการทำให้ร่างกายผ่อนคลายด้วยการปรับคลื่นสมอง ยิ่งคลื่นสมองวิ่งช้าลง ต่ำลง เราจะเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น และเมื่อเราผ่อนคลายจนอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เราจะอยู่ในสภาวะที่พร้อมสำหรับการสื่อสารหรือป้อนข้อมูลให้กับจิตใต้สำนึกของเราได้นั่นเอง
ปัญหาความกลัวของทีมขาย
เชื่อว่าพนักงานขายในทีมของเราหลายคนที่ถูกขัดเลือกมาแล้วมักจะมีทักษะในการขายที่พร้อมสำหรับการทำหน้าที่ แต่บางครั้งก็มักจะไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ดีเท่าที่ควร หลายองค์กรเลือกที่จะส่งพนักงานขายไปอบรมทักษะเพิ่มเติมโดยที่คาดหวังผลลัพธ์ว่าจะต้องสามารถกลับมาสร้างยอดขายได้มากขึ้น แต่ก็ยังคงไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาได้ดีเท่าที่ควร ถ้าทักษะทุกอย่างมีพร้อมแต่ผลลัพธ์ไม่เกิด สาเหตุอาจจะมาจาก “ อารมณ์ลบ “ ที่อยู่ภายในก็เป็นได้
อารมณ์กลัว เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การขายไม่ได้เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ เพราะความกลัวทำให้เราไม่สามารถใช้ศักยภาพของเราได้เต็มที่ เพราะถ้าเรากลัวแล้วเราจะหยุดการกระทำทุกอย่างทันที หยุดเพราะกลัวจะไม่สำเร็จ หยุดเพราะกลัวว่าลูกค้าจะไม่ประทับใจ หยุดเพราะกลัวว่าลูกค้าจะมีมุมมองด้านลบ กลัวว่าจะไม่สามารถอธิบายคุณสมบัติและคุณค่าของสินค้าได้อย่างเต็มที่ หยุดเพราะกลัวลูกค้าจะรำคาญ หยุดเพราะกลัวจะไม่สามารถติดต่อกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องได้ ฯลฯ ความกลัวเหล่านี้จึงเป็นอุปสรรคสำคัญเพราะไม่ว่าทีมงานของคุณจะมีทักษะเต็มเปี่ยมแค่ไหน แต่ถ้าภายในจิตใจของพวกเขามีความกลัวครอบงำอยู่ พวกเขาจะไม่สามารถใช้ทักษะเหล่านั้นได้เลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าต่อให้ไม่เก่งแต่กล้าทำก็ยังได้สร้างผลลัพธ์ได้เรียนรู้ แต่ถ้าเก่งแล้วไม่กล้าทำอะไรก็คงจะไม่มีผลลัพธ์อะไรต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่อความกลัวเป็นปัญหาที่อยากจะแก้ การแก้ปัญหาที่ดีก็ควรจะเริ่มด้วยการแก้ปัญหาจากต้นเหตุ หรือการเรียนรู้ว่า “ ความกลัว “ เกิดจากอะไร เพราะทุกคนไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความกลัวในทันที แต่ความกลัวนั้นเกิดจากประสบการณ์บางอย่างในอดีตที่เกิดขึ้นและฝังอยู่ในจิตใจของเรา และไอ้เจ้าประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในตัวเรานี้แหละคือสารตั้งต้นที่ทำให้ผลลัพธ์ไม่เกิดขึ้น
สะกดจิตบำบัด ช่วยเรื่อง ความสัมพันธ์ของอารมณ์และผลลัพธ์
หลายคนคงจะสงสัยกันว่า เพียงแค่มีประสบการณ์แย่ ๆ ในอดีตทำให้ผลลัพธ์ในปัจจุบันได้เลยหรือ ? คำตอบก็คือ “ ใช่ “ ประสบการณ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดอารมณ์และความเชื่อ สามารถส่งผลต่อกันมาเป็นทอด ๆ จนทำให้กระทบกับผลลัพธ์ในปัจจุบันได้เลย
ถ้าลองพิจารณากันดี ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็มาจากการกระทำของเราในแต่ละวัน เช่น ถ้าคุณออกกำลังกายเป็นประจำ คุณก็จะมีหุ่นดีมีสุขภาพดี การกระทำหรือพฤติกรรมของเราที่เกิดขึ้นนั้น ก็ถูกควบคุมและขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ซึ่งอารมณ์ของคนเราจะเกิดขึ้นจากความคิดหรือวิธีคิดและทัศนคติของเรา ถ้าเราคิดดีอารมณ์ก็ดีตาม ถ้าเราคิดลบ อารมณ์ของเราก็จะลบตามความคิดไปด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าความคิดและทัศนคติของเราก็ก่อตัวขึ้นมาจากค่านิยมและประสบการณ์ในอดีตที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเรานั่นแหละ นี่เลยเป็นสาเหตุที่ความเชื่อและประสบการณ์ในอดีตบางอย่างที่ฝังอยู่ในตัวเรา มีผลมาถึงผลลัพธ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเราในปัจจุบัน
ตัวอย่างของประสบการณ์และความเชื่อเก่า ๆ ที่มีผลต่อการขายอย่างเช่น ถ้าสมัยเด็ก ๆ คนหนึ่งคนเวลาที่แสดงความคิดเห็นอะไรกับผู้ใหญ่แล้วถูกสอนว่า “ ห้ามทำตัวสอนผู้ใหญ่แบบนี้ “ เขาอาจจะมีค่านิยมในตัวเกิดขึ้นว่า การนำเสนอกับผู้ใหญ่เป็นเรื่องไม่ควร เพราะเราอายุน้อยกว่า พนักงานคนนี้อาจจะมีปัญหากับการปิดการขายหรือการเข้าหาลูกค้าที่มีอายุมากกว่าก็ได้ เป็นต้น
สะกดจิตบำบัด แล้วยอดจะโตจากการสะกดจิตได้จริงไหม ?
ถ้าหากว่าทัศนคติภายในของเราปรับเปลี่ยนออกมาในเชิงบวก แสดงว่าอารมณ์ของเราก็จะเป็นบวกและตามไปด้วย และอารมณ์บวกนั้นก็จะขับเคลื่อนให้การกระทำที่เกิดขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการกระทำหรือพฤติกรรมเหล่านั้นก็จะส่งเสริมให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีตามมา ดังนั้นเราจะสามารถตอบได้อย่างเต็มปากว่า “ ใช่ “ การสะกดจิตบำบัดที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและให้ข้อมูลใหม่ ๆ กับจิตใต้สำนึกได้ จะสามารถสร้างทัศนคติจนทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นยอดขายที่พัฒนาขึ้นได้อย่างมีนัยยะ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ผลประโยชน์อย่างหนึ่งที่ทำให้ยอดโตขึ้นเท่านั้น
การมีทัศนคติที่ดีไม่เพียงแค่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานส่วนบุคคลดีขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การมีทัศนคติในการทำงานที่ดียังมีผลให้สภาพแวดล้อมในการทำงานส่งเสริมให้ทีมงานทุกคนในทีมสามารถทำงานได้ดีขึ้นด้วย การมีทัศนคติที่ดีหมายความว่าทีมงานของคุณจะสนับสนุนช่วยเหลือกัน แทนที่จะมานั่งแย่งลูกค้ากันเพราะหวังค่าคอมมิชชั่น การมีทัศนคติที่ดีจะทำให้เกิดการแบ่งปัน ซึ่งองค์ประกอบที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้ทีมชายของคุณแข็งแรงและเป็นปึกแผ่นมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเทคนิคการสะกดจิตบำบัดนั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นแค่เทคนิคที่คุณจะเลือกนำมาใช้เพื่อเปลี่ยนทีมงานของคุณให้มาเป็นเครื่องจักรการขายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือที่จะทำให้คุณสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของทีมงานของคุณผ่านการสื่อสารจากภายใน และการสื่อสารจากภายในนั้นจะส่งผลต่อตัวพวกเขาเอง และสภาพแวดล้อมในการทำงาน การสะกดจิตบำบัดคือศาสตร์ที่จะช่วยปลดล๊อคทีมงานของคุณให้หลุดออกมาจากห้วงอารมณ์ลบที่คอยเหนี่ยวรั้งชีวิตของพวกเขาอยู่ได้ และเมื่อพวกเขามีคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสมแล้วนั้น คุณจะค่อย ๆ เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับทัศนคติและคุณภาพชีวิตของทีมงานคุณเอง Well-being ของทีมงานของคุณอยู่ในกำมือและการตัดสินใจของคุณแล้วว่า คุณจะเลือกเข้ามาเรียนรู้และนำเอาศาสตร์การสะกดจิตบำบัดไปช่วยสนับสนุนพวกเขาอย่างไรได้บ้าง
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599