
สัญญาณเตือนภัยที่มีแนวโน้มจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณจบลง
การหาคู่ชีวิตที่ดี อาจจะเป็นเป้าหมายของใครหลาย ๆ คนในเวลานี้ และแน่นอนว่าการให้ความสำคัญในการหาคู่ชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนให้ความสำคัญกับการหาคู่ที่มี Life style หรือวิถีชีวิตใกล้เคียงกัน บางคนหาคู่ที่มีเป้าหมายในชีวิตเหมือนกัน บางคนต้องการคู่ที่มีทัศนคติใกล้เคียงกัน ฯลฯ ด้วยการให้ความสำคัญระดับนี้ของคนเรา ทำให้การหาคู่ครองที่ “ใช่” ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะถ้าแต่ละคนไม่ได้มีบรรทัดฐานในการหาคู่ครอง ทุกคนก็คงจะได้คู่ครองกันด้วยการเดินผ่านกันครั้งเดียวตามท้องถนนแล้ว จริงไหม ?
แน่นอนว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์การมีความสัมพันธ์ ในรูปแบบของคนรักมาหลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งก็มักจะมีเหตุผลต่าง ๆ กันไปที่ต้องทำให้เลิกรากันไป หรือ เหตุผลที่ทำให้เลิกกันก็อาจจะเป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ทำให้คุณสังเกตอะไรบางอย่างในตัวคุณเองได้ ดังนั้นนี่เป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้ดีที่สุดว่า มนุษย์เราให้ความสำคัญกับการเลือกคู่ครองมากแค่ไหน
ถ้าคุณคิดว่าการหาคู่ครองที่ใช่ว่ายากแล้ว การตัดสินว่าความสัมพันธ์ของคุณในตอนนี้ “ใช่” สำหรับคุณจริง ๆ หรือไม่ เพราะถ้าคุณตีความผิดจากคำว่า “รัก” กลายเป็นคำว่า “หลง” คุณอาจจะใช้ชีวิตคู่อย่างไม่มีความสุข หรือคุณอาจจะกำลังลังเลว่า นี่ใช่ความสัมพันธ์ที่คุณต้องการจริง ๆ หรือไม่ ?
บทความนี้จะมีพูดถึงสัญญาณที่คุณอาจจะต้องใส่ใจกับมัน เพราะถ้าสัญญาณเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณ คุณอาจจะต้องใส่ใจกับการจัดการสัญญาณที่เกิดขึ้นเหล่านี้ หาวิธีแก้ปัญหา และหากว่าเป็นปัญหาที่คุณแก้ไม่ได้ แล้วปัญหาเหล่านั้นมีผลกระทบกับคุณมาก คุณอาจจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ปัจจุบันของคุณ

1. หลีกเลี่ยงการสื่อสาร
ถ้าคุณหรือคู่ของคุณ เริ่มที่จะหลีกเลี่ยงการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม โดยเฉพาะการสื่อสารเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เพราะมนุษย์เราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันได้ด้วยทักษะการสื่อสารเป็นสำคัญ แต่ถ้าหากว่าคุณหรือคู่ของคุณเลือกที่จะไม่สื่อสารแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกันกับการเลือกที่จะไม่เรียนรู้กันต่อแล้ว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณจะตัดสินใจว่านั่นเป็นการหลีกเลี่ยงการสื่อสาร คุณอาจจะต้องสังเกตที่ตัวเองก่อนว่า เช่น เลือกวิธีการสื่อสารที่เหมาะกับคู่ของคุณแล้วหรือยัง ? คุณสังเกตและเรียนรู้คนรักของคุณมากพอหรือยัง ? คุณรู้หรือยังว่าคนรักของคุณต้องการวิธีการสื่อสารแบบไหน ?
ถ้าคนรักของคุณเป็นคนที่นุ่มนวล อ่อนไหวง่าย อยู่แล้วคุณเลือกวิธีที่จะสื่อสารแบบตรง คุณพูดเสียงดัง เพราะคุณมีความเห็นว่าการสื่อสารต้องชัดเจน และตรงไปตรงมา นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ใส่ใจกับวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับคนรักของคุณ จนทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือคู่ของคุณไม่สามารถสื่อสารกันได้
2. ค่านิยมแตกต่างกัน
ค่านิยมคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณได้ดีที่สุดอย่างหนึ่ง คุณให้คุณค่ากับอะไร คุณให้ความสำคัญกับสิ่งไหนในชีวิตคุณ คุณให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างถูกต้อง คุณให้เวลากับการดูแลสุขภาพ หรือคุณให้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง ฯลฯ แต่ถ้าหากว่าคนรักของคุณมีค่านิยมที่แตกต่างกันออกไป ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสองคนอาจจะไม่ราบรื่นอย่างที่คุณหวังไว้
ถ้าบอกว่าค่านิยมต่างกันแล้วจะทำให้เลิกกันก็อาจจะไม่ถูกไปเสียทีเดียว เพราะความแตกต่างกันของคนเราถือว่าเป็นหนึ่งความสวยงามที่ทำให้เกิดการแลก เปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลจริง ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาก็คือ การไม่ยอมรับในความแตกต่างของแต่ละคน ถ้าคุณหรือคนรักของคุณไม่ให้เกียรติกับค่านิยมความสำคัญของอีกฝ่าย นั่นคือการไม่ยอมรับในตัวตนของอีกคนหนึ่งอย่างชัดเจน
ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งพูดออกมาว่า “คิดแบบนี้ไม่ได้นะ” โดยที่ไม่ได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่งก่อน หรือเลือกที่จะไม่ฟังเหตุผลและความคิดของอีกฝ่ายแล้วตัดสินว่า “ถูก” หรือ “ผิด” นั่นอาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดของคุณ เพราะสุดท้ายแล้ว ค่านิยมความชอบไม่มีผิดมีถูก แต่ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายจะสามารถยอมรับค่านิยมของอีกฝ่ายหนึ่งได้หรือไหม่ ดังนั้นไม่ต้องห่วง ถ้าหากว่าคุณกับคู่ของคุณจะมีค่านิยมที่แตกต่างกัน เพียงแค่หาเวลาสื่อสารกัน ให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสได้พูดถึงค่านิยมของตัวเอง และให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสรับฟังถึงค่านิยมของคุณ เท่านี้คุณก็จะสามารถรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ทางหนึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณสื่อสารกันอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถยอมรับค่านิยมที่แตกต่างกันนี้ได้ ก็อาจจะถึงเวลาที่คุณจะต้องแยกกันและก้าวเดินไปข้างหน้าตามทางของตัวเองแล้วก็ได้
3. อยู่ในระยะทางที่ห่างกัน
อาจจะคุ้นเคยกันดีกับประโยคที่ว่า “รักแท้ก็ยังแพ้ระยะทาง” อาจจะไม่จริงสำหรับบางคู่ที่สามารถอยู่ใน Long distance relationship หรือความสัมพันธ์ระยะไกลได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระยะทางก็เป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คู่ที่ทำให้ต้องแยกทางกันไปเช่นกัน
เพราะการมีความสัมพันธ์กันในระยะทางที่ห่างกัน ต้องมีการจัดการและดูแลมากกว่าความสัมพันธ์ปกติ และที่สำคัญคือต้องมีความชัดเจนในการจัดการนั้นด้วย
ถ้าคุณสองคนไม่ได้ตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะดูแลความสัมพันธ์นี้อย่างไร มีโอกาสสูงมากที่ความสัมพันธ์ของคุณจะไม่ยืนยาว ยิ่งถ้าหากว่าความสัมพัน์ทางไกลของคุณ ไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนว่าคุณสองคนจะกลับมาอยู่ได้กันเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ คุณจะไม่รู้เลยว่าคุณจะต้องอยู่ในความสัมพันธ์ระยะไกลแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แล้วคุณยังจะอยากอยู่ในความสัมพันธ์นี้อยู่ไหม ถ้าคุณทั้งสองคนตอบว่าใช่ แสดงว่าคุณทั้งคู่จัดการกันได้ แต่ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งตอบว่าไม่ นั่นอาจจะเป็นหนึ่งสัญญาณที่คุณอาจจะต้อง Move on จากความสัมพันธ์ตรงนี้

4. ทัศนคติการใช้จ่ายไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณมีนิสัยในการใช้จ่ายไม่เหมือนกัน การหลีกเลี่ยงปัญหาในความสัมพันธ์อาจจะเป็นเรื่องลำบาก ถ้าคนหนึ่งชอบที่จะเก็บออม ไม่อยากจะใช้จ่ายเกินจำเป็น และเลือกที่จะเป็นเงินไว้ลงทุนต่อ ส่วนอีกคนหนึ่งให้ความสำคัญกับการซื้อความสุขให้ตัวเอง ก็อาจจะทำให้กระทบกระทั่งกันได้ คนหนึ่งอาจจะบอกว่า “ใช้จ่ายแบบนี้ต่อไปจะทำอย่างไร?” และอีกคนหนึ่งก็อาจจะตอบกลับมาว่า “แล้วจะต้องรอไปอีกเมื่อไหร่ถึงจะซื้อความสุขให้ตัวเองได้ ในเมื่อยิ่งได้เงินมาก็ยิ่งเอาไปลงทุนมากขึ้นทุกที ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะใช้เลย”
ยังคงยืนยันคำเดิมว่า ไม่ว่าคุณจะมีทัศนคติการใช้จ่ายแบบไหนก็ตาม ไม่มีผิดไม่มีถูกทั้งนั้น เพียงแต่คุณเข้าใจทัศนคติของอีกฝ่ายมากแค่ไหน และคุณสองคนพยายามปรับตัวเข้าหากันมากแค่ไหนเท่านั้นเอง
วิธีง่าย ๆ ที่เคยเห็นบางคู่เอามาปรับใช้แล้วสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ดีก็คือ การมีบัญชีกลางเพื่อเอาไว้ใช้จ่ายร่วมกัน โดยให้ทั้งคู่วางแผนการใช้จ่ายในแต่ละเดือนว่า ใครมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างไรบ้าง มีค่าใช้จ่ายที่เป็นเรื่องความต้องการอย่างไรบ้าง หลังจากนั้นก็ตกลงกันว่าแต่ละเดือน ทั้งสองคนจะฝากเงินเข้าบัญชีกลางคนละเท่าไหร่ เพื่อนำมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ และรายได้ส่วนที่เหลือของแต่ละคนก็สามารถนำไปบริหารตามความต้องการของตัวเองได้
5. เนื้องานขัดแย้งกัน
บางคู่ประกอบอาขีพเดียวกันและทำงานด้วยกัน แต่บางคู่ก็ทำงานกันคนละอาชีพ ซึ่งถ้าหากว่าเนื้องานของแต่ละอาชีพแตกต่างกันมากจนเกินไป อาจจะทำให้คุณทั้งคู่มีปัญหากันก็ได้
ยกตัวอย่างได้หากว่าคนหนึ่งทำงานเป็นหมอ ทั้งรักษาคนไข้และออกมาให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพกับประชาชน แต่อีกคนหนึ่งขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลทำให้คนในวงกว้างมีปัญหาด้านสุขภาพ อาจจะทำให้คนสองคนไม่เข้าใจกันและต่อต้านกันก็ได้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกอาจจะดูไม่มีผลมากนัก แต่ความไม่เห็นด้วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะสมเอาไว้อาจจะกลายเป็นความไม่พอใจในอนาคต ซึ่งวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ เลยก็คือการเคารพการตัดสินใจซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าอาจจะไม่สามารถเข้าใจกันได้ทุกคู่ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณเจอปัญหานี้แล้วไม่สามารถจะปรับความเข้าใจหากันได้ ความสัมพันธ์ของคุณอาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่มีความสุขสำหรับคุณทั้งคู่ก็ได้
6. ต่อต้านการปรับตัวเข้าหากัน
อย่างที่กล่าวไปหลายครั้งในหัวข้อข้างต้น ไม่มีอะไรผิดและถูกในความสัมพันธ์ มีแต่ยอมรับกันได้หรือไม่ได้ และต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน แต่ถ้าหากว่ามีใครคนใดคนหนึ่ง เลือกที่จะหยุดปรับตัว แล้วอยู่หยุด ๆ เหมือนกำลังจะบอกว่า ฉันจะไม่ทำอะไรแล้ว คุณสิจะต้องเป็นฝ่ายที่ปรับตัวให้มาตรงกับความต้องการของฉัน ความหมายของการกระทำดังกล่าวก็เหมือนกับการบอกว่า “ต่อไปนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฉัน ปัญหาคือคุณ ดังนั้นคุณต้องเป็นฝ่ายปรับตัวและแก้ปัญหา” ดี ๆ นี่เอง และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่า คุณควรจะเอาตัวเองออกมาจากความสัมพันธ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณที่หยุดปรับตัวเข้าหากัน หรือจะเป็นคู่ของคุณก็ตาม ถ้าความสัมพันธ์ของคุณสองคนยังมีปัญหาอยู่ แล้วใครคนใดคนหนึ่งล้มเลิกความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาไป นั่นแสดงว่าจะมีอยู่เพียงคนเดียวที่กำลังพยายามประคับประครองความสัมพันธ์ นั้นเอาไว้อยู่

7. มีพฤติกรรมอยากรู้จักคนใหม่ ๆ ในฐานะคนรักมากขึ้น
ถ้าหากว่าคุณเริ่มสังเกตตัวเองว่า อยากทักไปรู้จักกันคนอื่นนนอกจากแฟนคุณ นี่เป็นสัญญาณที่ทำให้คุณจะต้องสังเกตตัวเองว่า ทำไมคุณได้อยากจะไปรู้จักหรือสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น และอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนเจ้าชู้อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าสายตาของคุณเริ่มเห็นว่าคนอื่นน่าสนใจ และอยากไปทำความรู้จัก อยากคุยด้วย อยากเจอกัน คุณอาจจะไตร่ตรองให้ดีว่า เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของคุณ และทำให้คุณเริ่มสนใจคนอื่น และเมื่อคุณสรุปเหตุผลได้แล้ว สื่อสารกับคู่ของคุณให้เรียบร้อย และหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน แต่ถ้าคุณไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยกันได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ควรจะให้เกียรติคู่ของคุณด้วยการจบความสัมพันธ์ก่อนที่คุณจะออกไปพยายาม สานสัมพันธ์กับคนอื่น
8. มองไม่เห็นอนาคตของความสัมพันธ์ของคุณ
ข้อสำคัญที่สุดในการสร้างความสัมพันธ์คือการสร้างอนาคตไปด้วยกัน จริงไหม ? แล้วอะไรจะเป็นสัญญาณที่แย่ที่สุด ถ้าไม่ใช่การที่คุณไม่สามารถจินตนาการ อนาคตที่คุณต้องการกับคู่รักคนปัจจุบันของคุณได้ ซึ่งปัญหาที่ไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ก็น่าจะมาในรูปแบบที่แตกต่างกันได้ในแต่ละคู่ อาจจะเป็นเพราะปัญหาส่วนตัวด้านนิสัยของทั้งคู่ หรืออาจจะเป็นปัญหาจากคนในครอบครัวไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ซึ่งวิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคุณมั่นใจในคู่ของคุณแล้ว คุณทั้งคู่แค่ต้องหาเวลาสื่อสารกันเกี่ยวกับอนาคตบ้าง อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นการนั่งคุยกันจริงจังเสมอไป แต่การคุยเล่นวางแผนกันไปเพลิน ๆ ระหว่างที่อยู่ด้วยกันก็อาจจะทำให้คุณเห็นภาพอนาคตของคุณมากขึ้น หรือเป็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่คุณอาจจะคิดไม่ถึงกันมาก่อนก็ได้
สุดท้ายแล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียง “สัญญาณ” เท่านั้น ซึ่งหน้าที่ของสัญญาณนั้นมีเอาไว้เตือนสติคุณว่า คุณอาจจะกำลังเจอปัญหาอะไรบางอย่างอยู่ในความสัมพันธ์นี้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ต่อให้คนที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันหลายสิบปีก็ยังคงเจอปัญหาไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ข้อสำคัญคือคุณทั้งสองคนพยายามสื่อสารกัน แก้ปัญหาไปด้วยกัน รับฟังกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน ถ้าคุณทั้งคู่สามารถก้าวข้ามปัญหาเหล่านี้ไปได้ หรือแสดงความพยายามที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ขอแสดงความยินดีด้วย คุณสองคนกำลังสร้างชีวิตคู่ที่มีความสุขด้วยกันไปทีละเล็กละน้อยแล้ว
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599