
สูตรลับบำบัดจิต ที่นักธุรกิจควรทำตาม
ถ้าหากว่าเราเปรียบเทียบเป้าหมายในชีวิตของเราเป็นเหมือนเส้นชัย และเปรียบเทียบธุรกิจของตัวเองเป็นรถคันหนึ่ง คุณคิดว่ารถคันนั้นจะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ถึงจะสามารถพาคุณไปถึงเป้าหมายได้ ซึ่งถ้าพูดถึงรถ ก็คงไม่ได้มองให้เครื่องยนต์แรงอย่างเดียว ต้องดูระบบความปลอดภัย หรือสมรรถภาพโดยรวมให้เหมาะกับเส้นทางที่คุณจะต้องเดินไป เหมือนกับธุรกิจของคุณที่จะเอาแค่โฟกัสงานขายอย่างเดียวจนละเลยระบบอื่น ๆ ในองค์กร ก่อนการขายจะเกิดก็ต้องมีการ Marketing หา Leads ผู้สนใจให้เข้ามารู้จักกับคุณและสินค้าของคุณ ต้องมีการติดตามผลการใช้งานสินค้าหรือบริการของคุณ ไหนจะทีมงานหลังบ้านที่คอยจัดการบริหารข้อมูล ดูแลเรื่อง finance และบัญชี ฯลฯ ต่อมาจากระบบงานสิ่งต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ทีมงานที่จะคอยขับเคลื่อนและผลักดันองค์กร อย่างที่รู้กันว่าหลายชีวิจหลายมือหลายสมอง ช่วยกันทำช่วยกันพัฒนา ระบบ HR ที่ดีก็ควรจะดูแลการพัฒนาของพนักงาน การตอบแทนและสวัสดิการให้เหมาะสม
ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้รวมไปถึงปัญหาระหว่างทางที่พร้อมจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ที่คุณจะต้องคอยพุ่งชนคอยสู้กับมัน และพัฒนากับมันอยู่ตลอดเวลา จนทำให้หลาย ๆ คนลืมสังเกตองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ ซึ่งองค์ประกอบนั้นก็คือ “ คุณ ” เพราะนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นด้วยแรงผลักดันมหาศาล พร้อมจะเริ่มสิ่งใหม่ ๆ พร้อมที่จะรับมือกับปัญหา พร้อมที่จะพัฒนา และพร้อมที่จะเติบโต โดยที่มักจะละเลย “ ตัวเอง ” มากที่สุด กลายเป็นสิ่งที่อยู่ในลำดับความสำคัญที่เกือบจะน้อยที่สุด ซึ่งหลายคนอาจจะอ่านมาแล้วโล่งใจได้ว่า ยังดีว่าฉันหาเวลาหยุดพักร้อนให้ตัวเองได้บ้าง หรือว่ายังซื้ออะไรเป็นรางวัลให้ตัวเองได้เป็นครั้งคราว แต่ส่วนสำคัญที่คุณจะต้องดูแลจริง ๆ คือ “ สุขภาพจิต ” ของคุณเอง
4 อารมณ์ลบที่ควรถูกบำบัด
เมื่อพูดถึงสุขภาพจิตที่ดี ทุกคนจะหันไปมองการควบคุมอารมณ์ที่เหมาะสม มองไปถึงทัศนคติในแง่บวกที่ยอกเยี่ยมและพร้อมที่จะผลักดันตัวเองกับคนรอบข้างให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้ แน่นอนว่าการกระตุ้นและปลูกฝังวิธีคิดเชิงพัฒนาย่อมเป็นเรื่องดี ยังมีอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยสนับสนุนการสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้ หนทางที่กล่าวถึงก็คือ
“ การจัดการกับอารมณ์ด้านลบ ”
อารมณ์ลบ ( Negative emotion ) เกิดขึ้นจากการตีความเหตุการณ์บางอย่างในอดีตที่ตกกระทบเราผ่านประสาทสัมผัส และเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ซึ่งความซับซ้อนของจิตใต้สำนึกของคนเราก็คือ พื้นที่ของจิตใต้สำนึกอยู่นอกเหนือเหตุและผล ดังนั้นมุมมองและความคิดเห็นบางอย่างจะดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเรื่องความกลัว บางคนกลัวสุนัข เพราะในอดีตเคยถูกสุนัขตัวใหญ่กัดจนมีรอยแผลใหญ่ ความกลัวนั้นถูกฝังเอาไว้และบอกกับตัวพวกเขาว่า “ สุนัขอันตราย ” ทำให้หลังจากนั้นคนกลุ่มนี้จะกลัวสุนัขทุกชนิด ต่อให้จะเป็นสุนัขพันธ์เล็ก หรือลูกสุนัขที่หน้าตาน่ารักแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็จะยังกลัวสุนัขอยู่ ถึงแม้ว่าจิตใตด้านเหตุผลหรือ “ จิตสำนึก ” กำลังบอกพวกเขาอยู่ว่า “ ไม่จำเป็นจะต้องกลัวสุนัขเหล่านี้ก็ได้ น่ารักจะตาย และดูขนาดของมันสิ จะทำให้เราเจ็บตัวได้อย่างไร ” ไม่ว่าพวกเขาจะคิดลักษณะนี้ในสมองอย่างไร จิตใต้สำนึกขะทรงพลังกว่าและทำให้พวกเขาถอยห่างออกมาจากสิ่งมีชีวิตที่หน้าตาน่ารักนั้นได้
หากพิจารณาตัวอย่างที่กล่าวถึงเมื่อสักครู่ สาเหตุที่การจัดการอารมณ์ด้านลบเหล่านี้มีส่วนเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี เพราะอารมณ์ด้านลบมีส่วนทำให้เราถอยห่างออกจากบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับเรา หรือจิตใจของเราได้ เหมือนกับในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความกลัวที่เกิดจากอารมณ์ลบผลักดันให้เราถอยห่างจากสุนัขตัวเล็กน่ารักได้ ทั้ง ๆ ที่สมองและจิตสำนึกที่ใช้เหตุผลคิดคำนวนของเราได้คำตอบว่าเราไม่จำเป็นต้องกลัวก็ได้ ตัวอย่างที่กล่าวถึงอาจจะแค่ปิดกั้นคุณไม่ให้เข้าหาสิ่งมีชีวิตที่น่ารักตัวหนึ่ง
แต่ในชีวิตจริงคุณอาจจะกำลังถูกอารมณ์ลบบางอย่างปิดกั้นคุณไม่ให้เข้าถึงผลลัพธ์ หรือความสำเร็จบางอย่างอยู่
แน่นอนว่ามีปัญหาก็ย่อมจะมีทางแก้ อารมณ์ลบก็สามารถถูกจัดการได้ด้วยการสะกดจิตบำบัดที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอารมณ์ลบที่ควรจะรับมือและจัดการมีอยู่ 4 อารมณ์ คือ การถูกทรยศ ความโกรธ ความโสกเศร้า และความหวาดกลัว สาเหตุที่อารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่จัดการได้ลำบากสำหรับคนส่วนใหญ่เพราะว่า โดยปกติแล้วเราจะไม่สามารถสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของตัวเองได้ สิ่งที่เราทำได้จะมีแต่การสื่อสารกับจิตสำนึกผ่านการใช้ความคิดเท่านั้น แต่การบำบัดที่มีประสิทธิภาพจะเปิดโอกาสให้เราสามารถสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเรา และเปลี่ยนความหมายที่เคยถูกจดจำเอาไว้ให้เป็นความหมายที่สนับสนุนการเติบโตของเราได้

คอร์สสะกดจิตบำบัดคืออะไร ?
การสะกดจิตบำบัด คือศาสตร์การบำบัดอย่างหนึ่งที่สามารถจัดการกับอารมณ์ลบที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก่อนที่จะตีความว่าการสะกดจิตบำบัดที่สามารถจัดการกับอารมณ์ลบเป็นศาสตร์อาคมเหนือธรรมชาติบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ หยุดความคิดตัวเองไว้ตรงนั้น เพราะการสะกดจิตบำบัดเป็นศาสตร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์เป็นหลัก และมีงานวิจัยจากสถาบันชั้นนำมากมายรับรอง
ประวัติโดยคร่าวของการสะกดจิตบำบัดในวงการแพทย์ เริ่มต้นตั้งแต่ชาวอียิปต์สมัยโบราณที่รักษาคนป่วยด้วยการพาผู้ป่วยเข้าขอพรจากพระเจ้าในวิหารศักดิ์สิทธิ ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์หัวข้อนี้น่าสนใจตรงที่ การรักษาด้วยวิธีนี้ได้ผลมากกว่าที่คิด ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มเข้ามาศึกษาการทำงานของการรักษาในลักษณะนี้ หลายคนล้มเหลวที่จะหาทำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากพอจนวงการแพทย์ในวงกว้างจะยอมรับ จนกระทั่ง
นาย มิลตัน อิริคสัน สามารถนำหลักการทำงานของ “ คลื่นสมอง ” มาอธิบายการทำงานของการสะกดจิตบำบัด จนทำให้การสะกดจิตบำบัดถูกยอมรับว่าเป็นการบำบัดเชิงวิทยาศาสตร์ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ถูกมองว่าเป็นการใช้ความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับบัทธิหรือศาสนาบางอย่าง
อย่างที่กล่าวไว้ว่าการบำบัดคือการสื่อสารกับจิตใต้สำนึก แต่การจะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกที่ดีจำเป็นจะต้องรู้องค์ประกอบและเทคนิคที่เหมาะสม ดังนั้นคอร์สการสะกดจิตบำบัดจะสอนเกี่ยวกับกระบวนการ การสะกดจิตที่มีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์การทำงานของสมอง ซึ่งการสะกดจิตจะมีผลทำให้คลื่นการทำงานของสมองให้มีการทำงานที่ช้าลง และเมื่อคลื่นสมองเริ่มสงบนิ่งขึ้น ผู้ที่ถูกสะกดจิตจะเข้าสู่สภาวะที่ตกอยู่ใน “ ภวังค์ ” หรือ trance และเปิดโอกาสให้สามารถสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของตัวเองได้
เนื้อหาในคอร์สจะอธิบายเกี่ยวกับการทำงานของสมองในรูปแบบหรือคลื่นต่าง ๆ และเทคนิคในการปรับเปลี่ยนการทำงานของคลื่นสมองผ่านการใช้น้ำเสียงและคำพูด ร่วมกับการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม จากนักสะกดจิตบำบัดมืออาชีพที่มีใบรับรองในการสะกดจิตบำบัดและการสอนสะกดจิตบำบัด
ใครคือคนที่ควรเรียนรู้ศาสตร์นี้ ?
Emotional quotient หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อว่า Emotional intelligence หรือ EQ คือองค์ประกอบที่หลายคนให้ความสำคัญในปัจจุบัน บริษัทและองค์กรชั้นนำเริ่มใช้ EQ เป็นปัจจัยในการเลือกรับพนักงานมากขึ้น ความฉลาดทางสมองเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลงและปรับตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสำคัญอีกข้อหนึ่งของ EQ ก็คือการสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีสนับสนุนให้เราสามารถเข้าถึงผู้คนได้มากมาย ดังนั้นถ้าหากว่าคุณไม่สามารถสื่อสารกับผู้คนได้ดี คุณจะพลาดโอกาสในการเข้าถึงผู้คนที่มีคุณภาพและพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกันมากมาย
การสะกดจิตบำบัดมีส่วนช่วยในการจัดการกับอารมณ์ลบ และสร้างสุขภาพจิตที่มีส่วนเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ ที่ดี ดังนั้นคนที่ควรจะเรียนรู้ศาสตร์การสะกดจิตบำบัด คือ
- คนที่ต้องการจะเพิ่ม EQ ของตัวเอง
- คนที่อยากจะมีความสามารถในการจัดการอารมณ์ของตัวเอง
- โค้ช นักบำบัด เทรนเนอร์ หรือ นักสะกดจิต
- นักธุรกิจที่ต้องเจอกับปัญหาและความเครียดเป็นประจำ
- หัวหน้าที่ต้องดูแลสุขภาพจิตให้ทีมงานของตัวเอง
- คนที่ต้องการบำบัดและช่วยเหลือคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ครอบครัว หรือคนใกล้ตัว
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599