
วันที่หมดไฟในการทำงาน
มีวิธีการเรียกพลังให้ตัวเองอย่างไร
ในวันที่สังคมมีปัจจัยที่เราไม่อาจควบคุมได้ มนุษย์เงินเดือนที่สู้ชีวิตเพื่อแบกภาระที่หนักอึ้งต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตเกือบทุกๆ วัน มิหนำซ้ำโรคระบาดก็มิได้ลดลงเลยเมื่อเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน มนุษย์เงินเดือนในปัจจุบันมีอาการที่เรียกว่า “หมด ไฟ ใน การ ทำ งาน” ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์ และเป้าหมายขององค์กร เมื่อองค์กรไม่สามารถสร้างกำไร หรือ ขาดทุนก็จำเป็นที่จะต้องคัดพนักงานออกจากบริษัทเพื่อความอยู่รอด การที่จะเป็นพนักงานที่อยู่รอดในสมรภูมิรบนี้ต้องมีทั้งพลังกาย และพลังใจที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ซึ่งเคล็ดลับของกลุ่มพนักงานเหล่านี้ได้เปิดเผยจากผลงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่นว่า กลุ่มพนักงานเหล่านี้จะมีวิธีปลุกใจตนเองได้ในทุกๆ เช้า และจะมีอารมณ์ที่ดี หรือ ไม่ย่อท้อต่องานตลอดทั้งวัน ถึงแม้ทุกวันเราจะมีการทำงานที่ผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยี และทุ่นแรงในการทำงานได้มาก แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับยังแบ่งงานบางประเภทออกมาทำแบบ Manual เพื่อโฟกัสให้เกิดสมาธิ และการพัฒนาทักษะจำเป็นบางประเภทที่บางครั้งเทคโนโลยีขัดข้องก็สามารถใช้มนุษย์ทำงานได้อย่างไม่ติดขัด
เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงแต่เครื่องมือที่ทำให้ชีวิตประจำวันของเราง่ายดายขึ้นเท่านั้น เทคโนโลยียังเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น จากเมื่อก่อนสื่อในการเรียนรู้จะรวมอยู่ในหอสมุดหรือสถานศึกษาเท่านั้น แต่ตอนนี้มือถือ หรือ Tablet เครื่องเดียวก็สามารถหาข้อมูลเกือบจะทุกประเภทที่คุณต้องการได้ในโลกออนไลน์ คุณอยากจะเรียนทำอาหาร อยากจะเรียนเต้น อยากจะออกกำลังกาย อยากจะซ่อมรถ อยากจะทำสวน ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะอยากเรียนรู้และพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตามเราก็สามารถหาเรียนรู้ได้จาก คอร์สออนไลน์ ในทุกที่ทุกเวลา รวมถึงราคาไม่แพงอีกด้วย
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในยุคปัจจุบัน “การพัฒนา“ เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญกัน เพราะถ้าเกิดว่าคุณไม่พัฒนา นั่นหมายความว่าคุณจะ “ไม่ทัน“ ความเปลี่ยนแปลงของโลกในทันที ลองนึกถึงวันที่ Smartphone ของคุณเสีย และต้องส่งซ่อม คุณจะสัมผัสได้ทันทีว่าชีวิตของคุณขาดความสะดวกสบายอะไรบางอย่างไปแบบน่าอึดอัดสุดๆ จริงไหม ? แล้วลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณใช้ Smartphone ไม่เป็น คุณจะใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันได้อย่างไร และถ้าสมมติว่าในอนาคตมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์อีกครั้ง และคุณไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้ คุณคิดว่าจะเป็นอย่างไร ? บางทีคุณอาจจะเจอภาวะที่เรียกว่า Culture Shock ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่สามารถปรับตัวได้เหมือนเกิดผิดยุค ดังนั้นจึงมีทางให้กับมนุษย์เงินเดือนเลือกได้ไม่มากเมื่อต้องแลกกับการพัฒนาตัวเองในทรัพยากรที่จำกัด
ถึงแม้ว่าคุณจะเห็นความสำคัญของการพัฒนาตัวเองแค่ไหน และถึงแม้ว่าคุณจะพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาสักเพียงใด คุณเองก็จะต้องเคยเจอกับประสบการณ์ที่คุณรู้สึกว่า “หมด ไฟ” กันมาบ้างไม่มากก็น้อย และความรู้สึกนั้นจะทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองไปในตัวด้วย อยากเก่งขึ้นก็อยาก แต่ในขณะเดียวกันคุณก็เหนื่อยเสียเหลือเกิน ถ้าคุณกำลังรู้สึกเหนื่อย และหาสิ่งกระตุ้นให้กับตัวเองดู อยากให้คุณลองใช้เทคนิคที่เรียกว่า “ จินตนาการ “ แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มอ่านในบรรทัดต่อไป คุณต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อที่คุณจะหาวิธีใหม่ๆ ในการพัฒนาคนเอง เพราะการพัฒนาตนเองขึ้นอยู่ที่ความเชื่อ และความพยายามที่จะไปถึงจุดหมาย ม
จินตนาการ (Imagination)
พอพูดถึงจินตนาการคงจะทำให้เกิดข้อสงสัยกับหลายคนว่า “จินตนาการ“ ที่เป็นเพียงแค่ความคิดจะส่งผลกับชีวิตได้อย่างไร จะช่วยในเรื่อองของการหมด ไฟได้อย่างไร เรามีตัวอย่างการทดลองเกี่ยวกับนักกีฬามาแบ่งปันให้รู้กันว่า จินตนาการ ทรงพลังขนาดไหน ด้วยการทดลองชู้ตบาสให้ผู้ทดลองที่มีสมรรถภาพทางกีฬาใกล้เคียงกัน 3 คนมาฝึกชู้ตทำแต้มด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 3 วิธี
- ผู้ทดสอบคนที่ 1 ให้ลงไปฝึกในสนามจริง ลงไปซ้อมในคอร์ทจริง
- ผู้ทดสอบคนที่ 2 ให้นั่งหลับตาแล้วจินตนาการว่าตัวเองกำลังฝึกอยู่ในคอร์ทจริงอยู่
- ผู้ทดสอบคนที่ 3 ไม่ให้ทำอะไรเลย
เมื่อถึงเวลาวัดผลสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ทดสอบคนที่ 1 ที่ฝึกฝนด้วยวิธีทำจริงในสนามจริง ได้ผลออกมาดีที่สุดเหมือนที่คาดการณ์เอาไว้ ส่วนผู้ทดสอบคนที่ 3 ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยก็ได้ผลแย่ที่สุดตามสูตรเอาไว้

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผู้ทดสอบคนที่ 2 ที่ใช้วิธีฝึกด้วย “จินตนาการ“ กลับทำผลงานได้ดีใกล้เคียงกับผู้ทดสอบคนแรกมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ทั้งๆ ที่ทางกายภาพแล้วไม่ได้ต่างกับผู้ทดสอบคนที่ 3 ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ฝึกฝนจากภายในกลับส่งผลให้ผลลัพธ์ออกมาได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งถ้าคุณลองสังเกตดูดีๆ คุณอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ตัวเองกำลังเริ่มทำอะไรใหม่ๆ แล้วในวันแรกครั้งแรกคุณไม่สามารถทำออกมาให้เป็นผลสำเร็จได้เลย แล้ววันนั้นคุณจะเก็บเอาสิ่งที่คุณฝึกฝนไป “คิด“ เพราะคุณยังไม่สามารถเอาความคิดตัวเองออกมาจากสิ่งที่คุณกำลังหัดทำอยู่ได้ เรียกว่ายังไม่มูฟออนนั่นเอง แต่พอมาวันถัดไป คุณลงมือทำใหม่ ในวันนั้นคุณกลับทำผลลัพธ์ได้ดีกว่าวันแรก เหมือนกับว่าอยู่ๆ คุณก็ทำได้ขึ้นมาทั้งๆ ที่คุณไม่ได้ลงมือหยิบจับอะไรที่เกี่ยวกับกิจกรรมนั้นเลยในระหว่างวันที่ผ่านมา หรือคุณอาจจะเคยเจอเพื่อนที่เริ่มหัดทำอะไรใหม่ๆ แล้ววันแรกยังทำไม่ได้ แต่เพื่อนคุณบอกคุณว่า เดี๋ยววันนี้ลองเอาไปนอนคิดดู พรุ่งนี้น่าจะตื่นมาทำได้ แล้วเพื่อนคุณคนนั้นก็ทำได้จริงๆ นั่นแหละคือพลังของสมองที่เรียกว่า “ จินตนาการ “ อ่านมาถึงจุดนี้อาจจะดูไม่น่าเชื่อนะครับว่าพลังแห่งการจินตนาการจะมีอนุภาพได้ขนาดนี้ แต่แท้จริงแล้วไม่มีความแปลกเลยครับ เพราะ การสื่อสารถึงจิตใต้สำนึกผ่านการจินตนาการ คือ การโปรแกรมจิตเราให้เชื่อในสิ่งที่คิด และจินตนาการว่าได้ทำแล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องนี้คุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
Mental Rehearsal ในการ หมด ไฟ
เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ สมองของมนุษย์เราไม่แบ่งแยกว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจริง หรือเกิดขึ้นในจินตนาการ คุณลองสังเกตตัวเองดูว่าเวลาที่คุณกำลังจะต้องทำสิ่งที่คุณไม่ชอบทำหรือไม่อยากจะทำ หรือแม้กระทั่งคุณจะต้องไปเจอคนที่คุณไม่อยากจะเจอหรือพยายามจะหลบหน้าอยู่ คุณจะเกิดอาการเครียดขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะยังมาไม่ถึง คุณยังไม่ได้ต้องลงมือกิจกรรมนั้นเลย หรือคุณอาจจะยังไม่ได้เจอคนๆ นั้นเลย แต่คุณกลับมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น และคุณแสดงอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด

นั่นเป็นเพราะว่าคุณ “คิด” ถึงตอนที่จะต้องลงมือทำสิ่งที่ไม่อยากทำ เด็กหนุ่มที่เรียนรักษาดินแดนหลายคนเครียดเพราะไม่อยากจะไปฝึกหนักที่เขาชนไก่ เครียดตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทาง บางคนเครียดเป็นเดือนก็มี เพราะเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่อยากจะไปร้อน ไม่อยากจะไปลำบาก ไม่อยากจะไปเหนื่อย ไม่อยากจะไปโดนทำโทษ เครียดโดยที่เหตุการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้นจริงด้วยซ้ำ เพราะจินตนาการของคุณส่งผลต่อฮอร์โมนของคุณโดยตรง บางครั้งแค่คุณนึกถึงหน้าตาของคนรักของคุณ หรือคนที่คุณแอบชอบ แอนโดรฟินของคุณก็หลั่งออกมาให้คุณลอยละล่องอยู่ในห้วงของความสุขได้ แต่ในทางกลับกันถ้าหากว่าคุณไปคิดถึงคนที่คุณมีปัญหาด้วยบ่อย ๆ คอร์ติซอลของคุณก็จะหลั่งออกมาทำให้คุณเครียดแล้วก็หงุดหงิดไปในตัว ดังนั้นในเรื่องของการฝึกจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่กับการจินตนาการ เนื่องจากการทำงาน หรือ การใช้ชีวิตเราต้องคุมอารมณ์ และพฤติกรรมให้อยู่ในร่องในรอย ไม่ให้เกิดความผิดพลาดที่เป็นปัญหาให้ต้องแก้เพิ่มอีก ถ้าเราจัดการอารมณ์ของใครไม่ได้ ให้กลับมามองอารมณ์ของตัวเองก่อนซึ่งเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มักจะได้ผลลัพธ์เชิงลบจากการทำงานในลักษณะนี้ของสมอง คิดถึงแต่เรื่องที่ไม่ชอบจนทำให้เครียด คิดถึงแต่คนที่ไม่ชอบจนทำให้หงุดหงิด แต่ก็มีคนที่สามารถใช้ประโยชน์จาก “ จินตนาการ “ จนทำให้เกิดผลลัพธ์ในด้านบวกจนสามารถแก้การ “หมดไฟ” กับตัวเองได้มากมายเช่นกัน
ภวังค์ (Trance)
พอได้ยินมาถึงขนาดนี้แล้ว หลายคนคงจะมีข้อกังขาอยู่ในใจ เพราะถ้าเป็นเพียงแค่ความคิดทุกคนก็คงจะเคยผ่านจุดนั้นมาแล้วเช่นกัน ทุกคนคงจะเคยคิดว่าอยากจะรวย หรือจะมีรถมีบ้านหรูๆ อยากจะไปเที่ยวรอบโลก ทำไมถึงไม่ใช่ทุกคนที่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตัวเองคิด สิ่งที่ทำให้ความคิดนั้นมีผลลกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจริงๆ คือภาวะที่เรียกว่า “ภวังค์“ หรือ “Trance” นั่นเอง
ภวังค์คือภาวะที่เราอยู่ในสถานที่คล้ายกับการหลับลึก ซึ่งภาวะนี้จะเปิดประตูให้เราไปสื่อสารกับ “จิตใต้สำนึก“ ที่อยู่อีกด้านของเหตุ และผลได้ ซึ่งการใช้จินตนาการในสภาวะนี้จะทำให้เกิดการสื่อสารกับจิตใต้สำนึก ทำให้เกิดความเชื่อ เกิดมุมมอง และเกิดความคิดที่สนับสนุนให้ผลลัพธ์นั้นเกิดขึ้น เพราะเมื่อความเชื่อของคุณเปลี่ยน คุณจะเริ่มมองหาความเป็นไปได้ที่ตรงกับความเชื่อของคุณ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณสามารถชู้ดบาสให้ลงจากระยะ 3 แต้มได้ คุณจะเริ่มมองหาเทคนิคและวิธีการฝึกที่จะทำให้คุณสามารถชู้ด 3 แต้มได้ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณสามารถหารายได้มหาศาลได้ คุณก็จะเริ่มมองหาลู่ทางการทำเงินอย่างไม่หยุดยั้งในทันที และดีไปกว่านั้นคือ คุณจะเริ่มต่อต้านความคิดด้านตรงกันข้ามของคุณในทันที เช่น ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำเงินมหาศาลได้ คุณจะไม่สนใจคำพูดของคนที่พูดว่า “คุณกำลังเพ้อฝัน เพราะในความเป็นจริงนั้นเงินทองเป็นของหายาก“ เลยแม้แต่น้อย อย่างเก่งคุณก็อาจจะแค่คิดว่า เขาเป็นคนตลกดีนะ ทั้งๆ ที่หนทางในการหาเงินก็มากมายขนาดนี้ ทำไมยังเชื่อแบบนี้อยู่อีก ก็เป็นได้
เราจะสังเกตได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จหลายคนใช้ 3 เทคนิคนี้ในการพัฒนาตัวเองอยู่สม่ำเสมอ ถึงแมม้บนโลกนี้จะมีเทคนิคมากมาย แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับจริตของผู้พันาแต่ละคนที่น้อมรับการพัฒนาแบบไหน และให้ผลดี รวมถึงรวดเร็วมากที่สุด จนมีคำพูดที่พูดต่อๆ กันมาว่า ทุกอย่างเริ่มต้นจากในหัวของคุณ หลายคนพูดว่า “สิ่งที่ผมทำถูกมองว่าเป็นเรื่องบ้า หรือ ไร้สาระในช่วงแรกๆ ทั้งนั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างผมรู้สึกว่าพวกเขาต่างหากที่บ้า “ นั่นคือพลังของความเชื่อที่เกิดจากจินตนาการของพวกเขา และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาได้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าการจินตนาการอาจจะไม่ได้มีผลเท่ากับลงมือทำเสียทีเดียว แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ต้องสร้างผลลัพธ์ ลองเริ่มด้วย “ ความคิด “ และถ้าหากว่าคุณ “คิด“ ต่อไปเรื่อยๆ เป็นประจำทุกวัน คุณมั่นใจได้เลยว่าคุณจะะพัฒนาตัวเองไปได้ไกลกว่าคุณคนเดิม การหมดไฟก็จะเป็นเพียงปัญหาภายในของคุณที่คุณจะเชื่อมั่นว่าจัดการได้ไม่ยากอีกต่อไป สุดท้ายตัวคุณก็จะได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นอีกต่อไป
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599