Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

... อีโก้ ในตัวคุณใหญ่แค่ไหน ?...
แน่นอนว่าองค์ประกอบที่ทุกคนอยากจะมีในการทำงาน หรือการใช้ชีวิตก็คือ “ความมั่นใจ“ เพราะถ้าคุณไม่มีความมั่นใจ คุณอาจจะพลาดโอกาสในการเริ่มอะไรไปหลาย ๆ อย่าง เพราะบางครั้งถึงแม้ว่าคุณจะมีคุณสมบัติด้านอื่น ๆ มากแค่ไหน คุณจะเป็นคนที่มีความสามารถเฉพาะทางชนิดที่ว่า ใน 100ล้านคน ไม่มีคนที่ทำแบบคุณในสายงานนี้ได้เหมือนคุณเลย แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวเอง คุณจะไม่ได้แม้แต่จะเริ่มต้นก้าวเท้าก้าวแรกออกไปเลยด้วยซ้ำ แล้วศักยภาพ 1 ใน 100ล้านของคุณจะสร้างประโยชน์และผลลัพธ์ให้กับคุณได้อย่างไร หรือบางคนอาจจะกล้าพอที่จะเริ่มทำอะไรสักอย่าง เริ่มใช้ศักยภาพของตัวเอง แต่ถึงเวลากลับไม่กล้าแสดงผลลัพธ์ของตัวเองให้คนอื่นเห็น บางคนอาจจะสามารถสร้าง masterpiece ที่มีมูลค่ามหาศาลได้แต่ไม่กล้าจะเอาไปพรีเซ้นให้กับลูกค้าดูก็ได้ เพราะคุณอาจจะกำลังคิดว่า “ นี่มันไม่ดีพอหรอก “ หรือว่าหนักกว่านั้น ต่อให้มีใครมาบังเอิญเห็นผลงานของคุณ แล้วพวกเขาทึ่งกับความสามารถและศักยภาพ พวกเขาอาจจะเสนอโอกาสให้คุณแต่สุดท้ายคุณอาจจะไม่กล้ารับไว้ก็ได้ เพราะคุณไม่ได้ให้คุณค่าในตัวคุณเอง และศักยภาพของคุณเหมือนกันที่คนอื่นมองเข้ามาหาคุณ
ความมั่นใจเลยเป็นหนึ่งคุณสมบัติที่พ่อแม่ยุคใหม่หลาย ๆ คนพยายามปลูกฝังให้ลูกของตัวเองมี เพราะสมัยนี้เป็นยุคที่การสื่อสารเปิดกว้างแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะเก่งอย่างเดียวเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ต้องกล้าบอกว่าตัวเองเก่งด้วย เพราะถ้าคุณยังไม่กล้าการันตีคุณสมบัติของตัวเอง แล้วใครจะอยากได้คุณสมบัติที่เจ้าตัวเองยังไม่มั่นใจเลย จริงไหม ?
Balance is the essence of all things ความพอดีคือปัจจัยของทุกสิ่ง อะไรมากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น “ความมั่นใจ” ก็เช่นกัน เพราะความมั่นใจถึงแม้ว่าจะมีข้อดีมากมาย เป็นองค์ประกอบที่สร้างคนสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ความมั่นใจที่มากเกินไปก็ทำให้เกิดผลเสียกับทั้งเจ้าตัวเอง และคนรอบข้างด้วยเหมือนกัน ซึ่งความมั่นใจที่มากเกินพอดี ทุก ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “ อีโก้ “
…. มั่นใจกับอีโก้ แตกต่างกันอย่างไร ? ….
คนที่มั่นใจกับคนที่มีอีโก้มักจะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือเป็นคนกล้าพูด กล้าทำ กล้าลอง ฯลฯ แต่เชื่อว่าถ้าหากทุกคนสังเกตดี ๆ ก็คงจะแยกได้ไม่ยากว่าใครคือคนที่ “มั่นใจ” และใครเป็นคนที่ “อีโก้สูง “ สังเกตได้ง่าย ๆ จากตัวคุณเองก็ได้ ถ้าเป็นคนที่มั่นใจ คุณจะรู้สึกได้ว่า คนนี้เป็นคนที่น่าเข้าหา อยู่ด้วยแล้วสบายใจ สื่อสารง่าย ทำงานด้วยแล้วมีความสุข แต่ถ้าเมื่อไหรมันไม่ใช่ความมั่นใจ แต่มันเป็นอีโก้ ความรู้สึกของคุณจะเปลี่ยนไปทันที จากความเข้าหาง่ายคุยสะดวกจะกลายเป็นความรู้สึกอึดอัด ไม่อยากจะสุงสิงด้วย ยิ่งได้เป็นหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่คุณต้องทำงานร่วมกันแล้วละก็ คุณจะรู้สึกเหนื่อยทันทีที่เริ่มคิดว่าจะต้องทำอะไรร่วมกับพวกเขาบ้าง
เรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเราเป็นบุคคลที่สามที่สามารถมองจากมุมด้านนอกเข้าไปหาคนอื่น เราจะรับรู้และตัดสินได้ทันทีว่าใครมั่นใจ ใครอีโก้ แต่เจ้าตัวเองหรือว่าคนที่มีอีโก้เองนั่นแหละที่จะเป็นคนที่ไม่รู้ว่า สิ่งที่เขากำลังเป็น นั่นคืออาการของคนอีโก้สูง
ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนก็น่าจะไม่ใครอยากจะเป็นคนที่อีโก้สูงแน่นอน หลายคนคงจะอยากเป็นคนที่อยู่ร่วมกับคนอื่นง่ายอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเองเป็นคนที่มีอีโก้สูง และคุณสังเกตตัวเองไม่ได้ นั่นคงจะเป็นเรื่องยากที่จะพัฒนาตัวเองให้ออกจากโซนอีโก้ของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นลองค่อย ๆ สังเกตตัวเองดูว่า คุณเองมีอาการ 5 อย่างต่อไปนี้รึเปล่า ?
1. รับฟังคำแนะนำ แต่มี อีโก้ ไม่ค่อยทำตาม
เมื่อคุณต้องสื่อสารกับคนอื่น คงเป็นเรื่องปกติที่จะมีมุมมองและความคิดที่แปลกใหม่และแตกต่างจากสิ่งที่คุณมี และในขณะที่คุณกำลังแลกเปลี่ยนกับผู้คนคุณก็เป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำจากคู่สนทนาของคุณ แต่คุณเลือกที่จะไม่ทำตามคำแนะนำเหล่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินว่าถูกหรือผิดได้ 100% เพราะถ้าจะต้องทำตามคำแนะนำให้คนอื่นตลอดเวลาก็คงจะไม่ต่างอะไรกับเรื่องเล่าของพ่อลูกที่เดินจูงลากัน หรือถ้าคุณเอาแต่หลับหูหลับตาทำตามสิ่งที่ทุกคนพูดโดยที่ไม่คิดวิเคราะห์เลยก็คงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณสังเกตได้ว่ามันน้อยครั้งมากจนแทบจะไม่มีเลยที่คุณจะเก็บเอาคำแนะนำของคนอื่นมาปฎิบัติตาม หรือบางครั้งอย่าว่าแต่ทำตามเลย คุณอาจจะมองว่าคำแนะนำนั้นเป็นเรื่องไร้สาระตั้งแต่แรกก่อนที่คุณจะวิเคราะห์คำพูดเหล่านั้นเสียอีก
ถ้าคุณสังเกตได้ว่าคุณไม่ค่อยเอาคำแนะนำของคนอื่นมาคิดหรือใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ให้ระวังความคิดของคุณเอาไว้ดี ๆ เพราะนั่นเป็นชุดความคิดที่ปิดโอกาสในการพัฒนาของคุณ ปิดโอกาสที่จะได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากกรอบเดิมของคุณ ระวังให้ดีกับความคิดที่จะคอยปัดความเห็นของคนอื่นออกไปตลอดเวลา เพราะคุณอาจจะกำลังปฎิเสธที่จะรับรู้ ในเรื่องที่คุณไม่รู้ว่าคุณไม่รู้อยู่ และสุดท้ายคุณก็จะเดินอยู่ในกรอบเดิม ๆ ในเส้นทางเดิม ๆ เพราะว่าคุณก็ยังคง “ไม่รู้” อยู่

2. อีโก้ ทำให้เริ่มมองข้ามข้อผิดพลาด… ของตัวเอง
บางครั้งเวลาที่เราเจอกับปัญหาหรือว่าข้อผิดพลาดอะไรบางอย่าง การมองข้ามว่าใครเป็นคนทำแล้วมุ่งไปที่การแก้ปัญหาก็เป็นทัศนคติที่ดี เพราะถ้าคุณเอาแต่มาชี้หน้าหาคนผิดก็คงจะไม่ได้มานั่งแก้ไขปัญหากันเสียที แต่ถ้าเกิดว่าคุณมองเห็นข้อผิดพลาดของคนอื่นเต็มไปหมด ไอ้คนนั้นก็ทำแบบนั้นไม่ดี ไอ้คนนี้ก็ทำแบบนี้ไม่ได้เรื่อง ไอ้นู่นก็พึ่งพาไม่ได้อีก ฯลฯ จนทุกคนรอบตัวคุณดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่เอาไหนไปซะทั้งหมด นั่นอาจจะเป็นความจริงก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็อาจจะกำลังมองข้ามข้อผิดพลาดของตัวเองอยู่ก็เป็นได้
ชุดความคิดแบบนี้เนี่ยแหละ คือสิ่งที่ทำให้คุณไม่พัฒนา เพราะคุณเอาแต่ชี้ไปหาคนอื่น ปัญหาเกิดขึ้นจากคนรอบตัวของคุณล้วน ๆ ความคิดนี้จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนคุณอยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร.. แบบปลอม ๆ ที่คุณคิดขึ้นมาเอง คุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณคือสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด เรื่องทุกอย่างมันตะกุกตะกักเพราะคนอื่น
ถ้าความคิดนี้อยู่ในหัวคุณ ให้พึงระวังเอาไว้ได้เลยว่า นี่คงจะเป็นจุดสูงสุดของชีวิตคุณแล้วล่ะ เพราะคุณจะไม่สูงไปมากกว่านี้แล้ว ถ้าหากว่าคุณไม่เคยเลยที่จะไตร่ตรองให้ดีว่าตัวคุณเองทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง คุณมีส่วนในการทำผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้ถึงได้เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะมองไปที่คนอื่น คุณอาจจะต้องระวังและสังเกตตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
3. อีโก้ ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
อ่านหัวข้อแล้วก็อาจจะเกาหัวไปตาม ๆ กัน เพราะศักยภาพในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีไม่ว่าจะทำงานแบบไหนมักจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเติบโตทางการงานในปัจจุบัน หลายคนถูกฝึกให้เป็นคนที่ทำได้รอบด้านจากการทำงานในองค์กร แล้วทำไมการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ถึงเป็นหนึ่งสัญญาณว่าคุณเป็นคนที่มีอีโก้สูงกัน ?
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ คนที่มีศักยภาพคือคนที่มีความสามารถรอบด้าน พร้อมที่จะรับมือกับทุก ๆ สถานการณ์ แต่คนที่มีอีโก้สูง คือคนที่ไม่ให้คุณค่ากับความสามารถของคนอื่น หรือไม่ไว้ใจในความสามารถของคนอื่น จนทำให้ทุกอย่างจะต้องมาจบที่ “ ฉัน “ เพราะถ้าหากว่าไม่ใช่ฉันทำเนี่ย ทุกอย่างจะเละตุ้มเป๊ะแน่นอนเพราะฉะนั้นจะต้องเป็นฉันทำเท่านั้น
นี่คือสัญญาณของการไม่เชื่อในผู้คนของคุณ บางครั้งนั่นไม่ใช่แค่ควาไม่ไว้ใจ แต่คุณอาจจะกำลังกดความสามารถของคนอื่นเอาไว้อยู่ก็ได้ ถ้าคุณยังทำตัวเป็น One man army อยู่แบบนี้แล้วละก็ ทุกคนก็จะพร้อมใจกันปล่อยให้คุณทำในแบบที่คุณอยากจะทำเองนั่นแหละ แน่นอนว่าทุกคนไม่เหมาะที่จะทำงานทุกอย่าง บางครั้งคุณก็อาจจะต้องตัดสินใจรับผิดชอบงานนั้นเองแทนที่จะส่งให้คนอื่นทำ หรือถ้าหากคุณประเมินแล้วว่าทีมงานของคุณตอนนี้อาจจะยังไม่พร้อมนั่นก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าหากว่าคุณไม่เคยเลยที่จะปล่อยให้คนอื่นทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานน้อยแค่ไหนก็ตาม คุณอาจจะต้องระวังความคิดของตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม

4. คนรอบข้าง เริ่มไม่ชอบคุณ
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเพราะคุณมีกลิ่นปากหรือว่าคุณมีกลิ่นตัว แต่ไม่ชอบแบบที่ไม่อยากจะเข้ามาหาคุณ หรือพยายามเลี่ยงที่สุดที่จะไม่เข้าหาคุณ เรียกว่าถ้าหากว่าไม่จำเป็นที่สุดจริง ๆ ก็คงจะไม่มีใครเข้ามายุ่มย่ามกับคุณแน่ ๆ และที่สำคัญ ตัวคุณเองก็อาจจะไม่ได้ชอบคนอื่นด้วยเหมือนกัน การไม่ชอบคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากว่าความไม่ชอบของคุณทำให้เกิดความลำบากในการทำงานร่วมกันกับผู้คน นั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ จริงไหม ?
ความไม่ชอบคนอื่นนี้แตกต่างจากการเลือกคบคนที่เหมาะกับคุณเท่านั้น เราจะไม่บอกว่าคนแบบไหนดีคนแบบไหนไม่ดี หลาย ๆ คนอาจจะเคยถูกสอนมาว่าอย่าไปคบค้ากับเพื่อนที่ดิ่มเหล้าเที่ยวกลางคืน แต่เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าก๊วนดื่มของคุณไม่ได้เป็นกลุ่มที่ดื่มแล้วเมาเละเทะแล้วเดือดร้อนคนอื่น วงสังสรรค์ของคุณอาจจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยน หรืออาจจะทำให้คุณได้รู้จักกับคนใหม่ ๆ Connection ใหม่ ๆ ที่จะเพิ่มโอกาสให้กับคุณก็เป็นได้ คนที่ชอบดื่มก็จะมีเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนกัน และคนที่ไม่ชอบดื่มก็จะมีกลุ่มที่ไม่ดื่มเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่าคุณสัมผัสได้ว่าคุณไม่มีกลุ่มที่คุณสามารถเข้าหาได้เลย หรือว่าไม่มีกลุ่มที่คุณอยากจะเข้าหาเลย นั่นอาจจะเป็นสัญญาณของการมีอีโก้สูงก็เป็นได้
5. ดื้อเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่คุณทำนั้น ถูกต้อง
การมีความมุ่งมั้น และพยายามอย่างไม่ลดละในเป้าหมายของคุณ คือองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้คุณบรรลุในผลลัพธ์ที่คุณอยากจะให้เกิดได้ เพราะระหว่างทางเดินของคุณก็คงจะเจอปํญหาและอุปสรรคมากมาย ถ้าคุณเป็นคนที่หยุดง่าย ถอดใจง่ายคุณก็อาจจะไม่มีวันถึงเป้าหมายของตัวเองก็ได้
แต่ความไม่ลดละมันก็ไม่ใช่ความมุ่งมั่นเสมอไป เพราะมันมีเส้นบาง ๆ ที่กั้นอยู่ระหว่างคำว่า “ ความพยายาม “ กับ “ความดันทุรัง “ คือเส้นที่เรียกว่าอีโก้นั่นแหละ ถ้าหากว่าคุณรับข้อมูลที่เชื่อถือได้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากการพิสูจน์แบบไหนก็ตาม แล้วคุณก็ยังจะดึงดันทำแบบเดิมที่คุณรับรู้แล้วว่าผิดก็ตาม นั่นคือความแตกต่างของอีโก้ของคุณ คุณกำลังพยายามฝืนทำต่อไปเพื่อที่จะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า สิ่งที่คุณคิดหรือสิ่งที่คุณพูดน่ะ เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็ ถ้าร้านอาหารเป้าหมายของคุณต้องเลี้ยวขวาเมื่อถึงสามแยกข้างหน้า แต่คุณดันเลี้ยวรถไปทางซ้ายเพราะว่าคุณจำทางผิด สิ่งที่คนทั่วไปทำก็คือขอโทษคนที่มาด้วยและรีบหาที่กลับรถ แต่คนที่มีอีโก้สูง จะขับอ้อมโลกให้มาจบที่ร้านอาหารนั้นโดยที่ไม่ผ่านแยกเดิม เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร
ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าหากสังเกตแล้วจะเห็นได้ว่า คุณสมบัติของคนที่มีอีโก้สูงก็มักจะเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะมีอยู่ในตัวเหมือนกัน แต่ว่าการยึดในอัตตะของตัวเองมากเกินไป การยึดกับคำว่า “ ฉัน “ มากเกินไป นั่นต่างหากที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่มีอีโก้สูง เพราะ ฉะนั้นวิธีการแก้ไขที่ง่ายที่สุดก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มออกอาการตามหัวข้อเหล่านี้ ให้คุณลองหยุดตัวเองให้ทัน และนิ่งกับความคิดนั้นสักหน่อย เชื่อว่าคุณก็จะค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599