อุปสรรค-การขาย

5 วิธี ก้าวข้าม อุปสรรค ในการขาย

      องค์กรทุกองค์กรเริ่มต้นก่อตั้งขึ้น ด้วยวิสัยทัศน์และแรงผลักดันของคนหนึ่งคน ที่ต้องการจะสร้างประโยขน์และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนในสังคม และจุดเริ่มต้นขององค์กรเกือบทุกองค์กรมักจะมาจากจุดเดียวกัน นั่นคือการมองเห็น “ คุณค่า “ ในบางสิ่งบางอย่างที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมให้มีคุณภาพมากขึ้น สะดวกสบายขึ้น ปลอดภัยขึ้น ฯลฯ และเมื่อ “ คุณค่า “ ที่องค์กรของคุณสร้างขึ้นได้สร้างประโยขน์ให้กับสังคม ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนมากขึ้น ความต้องการก็เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องปกติ และสิ่งที่ตามมาจากความต้องการเหล่านั้นก็คือ การเติบโตขององค์กรนั่นเอง

       ในภารกิจการสร้างคุณค่าให้กับสังคมนั้น การส่งสินค้าหรือ “ คุณค่า “ ขององค์กรคุณสู่สังคม มีระบบการทำงานและกระบวนการอยู่มากมายเพื่อที่จะสนับสนุนการส่งคุณค่าเหล่านั้นให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบการจัดการคุณภาพสินค้า การออกแบบและปรับปรุง ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยก็คือ “ การขาย “ นั่นเอง

      การขายก็คือการแนะนำคุณค่าที่สินค้าของคุณจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้บริโภคได้ ซึ่งความสำคัญของการขายนั้นไม่ต้องพูดอะไรให้มากความทุกคนก็น่าจะเข้าใจดี เพราะถ้าหากว่าคุณไม่สามารถแนะนำ หรือทำให้สินค้าของคุณเข้าถึงผู้บริโภคได้แล้วนั้น ไม่ว่าสินค้าของคุณจะให้คุณค่าได้มากแค่ไหน จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหน ถ้าผู้บริโภคไม่รู้จักกับมัน คุณค่า ของคุณก็จะไม่สามารถถูกส่งไปถึงพวกเขาได้ ดังนั้นหลากหลายองค์กรจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่รับผิดชอบหน้าที่การขาย หรือ Sales ให้มีความสามารถในการกระจายสินค้าออกสู่สังคมให้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

อุปสรรค ในงานขายมีอะไรบ้าง และมาจากอะไร ?

             งานขายก็เหมือนกับงานอื่น ๆ ที่มีอุปสรรคและปัญหาเรียงเข้ามาให้แก้ไขไม่ซ้ำวัน ในมุมของงานขายเราสามารถสังเกตอุปรรคที่เกิดจากตัวบุคคลได้ง่าย ๆ 3 ข้อดังนี้

 1. อุปสรรคด้านความรู้ ( Knowledge )

             การขายก็คือการนำเสนอสินค้าโดยที่มีเป้าหมายเพื่อที่จะส่งต่อคุณค่าสู้ผู้บริโภค ในการที่จะส่งต่อคุณค่าให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Sales หรือพนักงานขายจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับสินค้าและคุณค่าในตัวสินค้าของคุณ จุดที่คุณสามารถสังเกตได้คือ

  • พนักงานของคุณมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าของคุณมากพอที่จะนำเสนอให้กับผู้บริโภคได้หรือไม่ ? สามารถแยกแยะและอธิบายความแตกต่างรวมไปถึงนำเสนอจุดเด่นของสินค้าของคุณได้ดีไหม ?

  • พนักงานของคุณมีความเข้าใจในตัวผู้บริโภคแค่ไหน ? เมื่อเข้าใจสินค้าแล้ว พนักงานของคุณเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคมากพอหรือไม่ เข้าใจชีวิตประจำวันของพวกเขามากพอที่จะสามารถทำให้พวกเขาเห็นได้ว่าสินค้าเหล่านี้จะสร้างคุณค่าให้กับพวกเขาได้ไหม ?

2. อุปสรรค ด้านทักษะ ( Skill )

             ความรู้และความเข้าใจจะไม่สามารถสร้างประโยชน์หรือทำให้การขายประสบความสำเร็จได้เลย ถ้าหากว่าพนักงานขายไม่ได้มีทักษะการขายที่เหมาะสม ซึ่งทักษะในการขายโดยรวมแล้วก็คือทักษะในการสื่อสารนั่นแหละ แต่การสื่อสารก็ไม่ได้จบแค่พูดตาม script หรือบทที่ร่างเอาไว้ในทุก ๆ รอบที่ต้องเข้าหาลูกค้า แต่หมายรวมไปถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพด้วย

ยกตัวอย่างเช่น การสังเกตคน เพราะการขายนั้นบ่อยครั้งพนักงานขายจะต้องเจอกับแคนดิเดตลูกค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ และทักษะในการประเมินว่าลูกค้าตรงหน้ามีองค์ประกอบอย่างไร และควรต้องสื่อสารด้วยวิธีไหนให้สามารถส่งผ่านข้อมูลไปถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยที่ใช้เวลาประเมินหน้างานสั้นที่สุด หรือจะเป็นทักษะในการหารายชื่อกลุ่มแคนดิเดตที่น่าจะมีความต้องการในตัวสินค้าได้ดี และสามารถเตรียมตัวอย่างเหมาะสมในการเข้านำเสนอสินค้ากับกลุ่มลูกค้านั้นได้ เป็นต้น

3. อุปสรรคด้านทัศนคติ ( Mindset )

             หลายครั้งคุณจะสังเกตได้ว่าพนักงานขายของคุณผ่านการอบรมให้มีทั้งความรู้และทักษะที่เหมาะสมกับการขาย พร้อมทั้งมีการวัดผลหลังจากการอบรมเรียบร้อยแล้ว แต่บ่อยครั้งก็จะเห็นว่าพนักงานขายบางคนยังมีอุปสรรคอย่างอื่นที่ปิดกั้นพวกเขาทำให้ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ด้านการขายและเพิ่มยอดขายได้ และบ่อยครั้ง อุปสรรคนั้นจะเป็นอุปสรรคเกี่ยวกับ ทัศนคติและความเชื่อ

            จุดนี้สำหรับหลาย ๆ คนอาจจะเป็นจุดที่ดูนามธรรมและจับต้องยากสักหน่อยนึง แต่เชื่อไหมว่าทัศนคติและความเชื่อที่ฝังอยู่ในตัวเราทุกคน ส่งผลโดยตรงกับผลลัพธ์ในตัวเราที่เกิดขึ้น เพราะผลลัพธ์นั้นเกิดจากพฤติกรรมประจำวันของเรา พฤติกรรมของเราถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์กับความคิด และความคิดของเราก็เกิดขึ้นมาจากความเชื่อที่อยู่ในตัวเรา สุดท้ายก็คือความเชื่อทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเราเกิดขึ้นจากประสบการณ์ในอดีตที่ถูกตีความและเก็บเอาไว้ในจิตใต้สำนึกของเรานั่นเอง

           ซึ่งความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับเรื่อง Mindset อยู่ที่ แต่ละคนมีเหตุการณ์ที่สร้างความเชื่อส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป และเหตุการณ์เหล่านั้นยังส่งผลกับแต่ละคนไม่เหมือนกันอีกด้วย บางคนโดนผู้ใหญ่พูดว่า “ เงินทองเป็นของหายาก “ ให้ฟังตั้งแต่เด็กก็ปักใจเชื่อไปเต็ม ๆ ว่าเงินทองเป็นของหายาก ทำให้ไม่กล้าที่จะนำเสนอสินค้าของตัวเองออกไป เพราะคิดว่าเงินทองเป็นของที่ได้มาลำบาก การตัดสินใจในการจับจ่ายใช้สอยของประชากรทุกคน ก็ย่อมจะเกิดขึ้นยากตามไปด้วย แบบนี้ก็ถือว่าเป็นอุปสรรคทางทัศนคติที่ทำให้ไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้เหมือนกัน

           อีกด้านหนึ่งของอุปสรรคเรื่องทัศนคตืที่ทำให้ไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้ก็คือ การจัดการอารมณ์ของตัวเอง เพราะไม่ว่าความรู้และความสามารถจะมีสูงแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลาก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่พนักงานขายจะต้องจัดการเช่นกัน

การแก้ไข อุปสรรค ทางความคิดและอารมณ์

             จะเห็นได้ว่าอุปสรรคด้านความรู้และทักษะสามารถแก้ไขและปรับให้มีความเข้าใจตรงกันได้ง่ายผ่านการอบรมภายในองค์กร แต่อุปสรรคด้านความคิด ทัศนคติ และอารมณ์เป็นเรื่องที่ผู้นำหลายคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่จับต้องและแก้ไขได้ยาก ซึ่งสามารถสังเกตได้ว่าหลายครั้งในการคัดพนักงานขายเข้ามาทำงาน จะมีพนักงานหลายคนที่รู้สึกได้ว่า ความรู้ดี ทักษะเยี่ยม แต่ทัศนคติไม่ผ่าน ทำให้เลือกที่จะไม่รับเข้าทำงาน ในแง่ของผู้ประกอบการก็ย่อมจะเสียดายความรู้และความสามารถเหล่านั้นที่ไม่สามารถนำมาใช้สร้างผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่เพราะทัศนคติไม่เอื้ออำนวย และในแง่ของบุคลากรเองก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่มีความรู้และความสามารถพร้อมแต่ไม่ได้รับโอกาสเข้าทำงาน

            อุปสรรคทุกอย่างล้วนมีทางแก้ อุปสรรคด้าน Mindset เหล่านี้ก็เช่นกัน สาเหตุสำคัญที่คนเราเปลี่ยนทัศนคติกันได้ยากก็เพราะว่า ความเชื่อและความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ในอดีตนั้นถูกฝังเอาไว้ในจิตใต้สำนึก สำหรับบางคนที่ไม่เข้าใจว่าจิตใต้สำนึกส่งผลอย่างไร ให้ลองนึกถึงความกลัวที่ถ้าหากว่าเราคิดด้วยเหตุด้วยผลแล้วก็ตอบตัวเองได้ว่าไม่ควรจะกลัว แต่เวลาเจอกับความกลัวนั้นก็ยังคงกลัวอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่เราก็มีเหตุผล เช่น บางคนกลัวหมา ก็กลัวแม้กระทั่งปอมเปอร์เรเนี่ยนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถทำให้บาดเจ็บอะไรได้เลยนั่นแหละ รู้อยู่แก่ใจว่าน้องปอมไม่ทำอะไรเราแน่ ๆ แต่ก็กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ นั่นแหละคือประสบการณ์ฝังใจบางอย่างในจิตใต้สำนึกของเรากำลังทำงานอยู่

          จากตัวอย่างข้างต้น การบอกกับตัวเองว่า “ น้องปอมกัดเราไม่เจ็บหรอกน่า “ ก็คือการพูดกับตัวเองผ่านจิตสำนึกนั่นแหละ พูดด้วยเหตุด้วยผลส่วนใหญ่ยังไงก็จะอยู่แค่ส่วนจิตสำนึก แต่จิตใต้สำนึกก็ยังคงบอกเราให้กลัวหมาอยู่ดี เพราะฉะนั้นเทคนิคที่จะทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรค หรือ Move on จากความเชื่อที่เหนี่ยวรั้งเราทำให้เราไม่สามาราถเพิ่มยอดขายได้ ก็คือเทคนิคในการสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเรานั่นแหละ และการสื่อสารกับจิตใต้สำนึกจะสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเราใช้เทคนิคจากการสะกดจิตบำบัด

** ข้อควรระวัง 5 ข้อก่อนที่จะทำการสะกดจิตบำบัด **

1. ควรจะมีเก้าอี้นั่งพิงเพื่อให้ผ่อนคลายได้เต็มที่ และป้องกันการล้มพับลงไปเมื่อผ่อนคลายมาก ๆ

2. ไม่ควรบำบัดขณะกำลังขับรถ หรือขณธที่กำลังทำกิจกรรมที่อันตรายเช่น การใช้เครื่องจักรที่มีความเสี่ยงและอันตราย ผู้ถูกบำบัดควรจะต้องอยู่นิ่ง ๆ ในระหว่างที่กำลังทำการบำบัด

3. ไม่เคี้ยวหมากฝรั่งขณะบำบัด เพื่อป้องกันอาหารติดหลอดลมในขณะที่กำลังผ่อนคลายมาก ๆ

4. ไม่ใช้การบำบัดกับผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต หรือคนที่อยู่ในอาการมึนเมา

5. ไม่ผลูกฝังความเชื่อที่ทำให้เกิดผลเสียกับผู้ถูกบำบัด

เพิ่มยอดขายด้วยการบำบัด 5 ขั้นตอน

 1. วัดผล

             ในการที่จะก้าวข้ามอุปสรรคหรือแก้ไขปัญหา จำเป็นจะต้องมีการวัดผลเพื่อให้สามารถประเมินได้ว่า กระบวนการแก้ไขปัญหานี้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นก่อนเริ่มบำบัดควรถามคำถามว่า “ ความกังวลเกี่ยวกับยอดขายที่จะต้องทำ มีอยู่เท่าไหร่ “ โดยใช้การให้คะแนนเป็นเกณฑ์การวัด 0 คะแนน หมายถึงไม่มีความเครียดกังวลเลย และ 10 คะแนนคือเครียดหรือกังวลมากที่สุด ซึ่งก่อนการเริ่มบำบัด คุณอาจจะได้คำตอบว่าอยู่ในระดับ 7 , 8 หรือ 10 เลยก็มี และหลังจากที่บำบัดเรียบร้อยแล้วเมื่อถามคำถามนี้ซ้ำอีกครั้งจะเป็นตัววัดผลที่ดีว่าความกังวลหรือความเครียดอยู่ในระดับใด ลดลงจากตอนแรกมากแค่ไหน

2. ลดการทำงานของระบบประสาท

             เทคนิคหนึ่งในการสะกดจิตก็คือ การลดการทำงานของระบบประสาทเพื่อลดสิ่งรบกวนที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราหลับตาลง เราจะสามารถโฟกัสไปที่ลมหายใจ ความรู้สึกและความคิดที่เกิดขึ้น และที่สำคัญคือเป็นการปรับคลื่นสมองให้ลดลงมาอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายมากขึ้นทีละนิด ๆ

3. ปรับการเต้นของหัวใจ

             ต่อมาคือการปรับการเต้นของหัวใจ แน่นอนว่ากล้ามเนื้อหัวใจเป็นกล้ามที่ที่เราไม่สามารถสั่งการได้ด้วยสมองเหมือนกับนิ้วมือของเรา แต่เราสามารถใช้การหายใจกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจได้ ด้วยการหายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกช้า ๆ นั่นจะทำให้เราได้รับออกซิเจนมากขึ้น และเมื่อค่อย ๆ หายใจช้าลงเรื่อย ๆ เราจะสัมผัสได้ว่าผู้ที่กำลังถูกบำบัดอยู่จะค่อย ๆ ผ่อนคลายลงทีละน้อย และเมื่อผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อย ๆ คลื่นสมองของเราจะปรับมาอยู่ในคลื่นอัลฟ่า ซึ่งเป็นคลื่นที่เปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าไปสื่อสารกับจิตใต้สำนึกได้มากขึ้นแล้ว

4. สื่อสารกับจิตใต้สำนึก

             เมื่อคลื่นสมองและร่างกายของพวกเขาผ่อนคลายมากแล้ว ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนของการบำบัด ซึ่งในศาสตร์การสะกดจิตบำบัดนั้นมี Script การพูดเพื่อใช้บำบัดหลาย 10,000 รูปแบบ ซึ่งหนึ่งตัวอย่างที่จะนำมาเสนอก็คือเทคนิคที่ใช้จินตนาการถ่ายอารมณ์ ความรู้สึก และความเครียดออกจากร่างกายผ่านลมหายใจออก และรับเอาอารมณ์ด้านดี ความรู้สึกด้านบวกเข้ามาสู่ร่างกายเราผ่านการสูดอาการหายใจเข้า

             โดยที่เราจะไกด์ ให้ผู้ที่ถูกบำบัดจินตนาการถึงอากาศที่สูดเข้าใจเป็นอากาศสดชื่นสีขาวใส เป็นอากาศสดชื่นที่จะทำหน้าที่เข้ามาฟื้นฟูอารมณ์และจิตใจของพวกเขา ให้อากาศเหล่านั้นไหลผ่านจากโพรงจมูกเข้ามาวนจนทั่วร่างกาย หลังจากนั้นเมื่อหายใจออกทางปาก ให้คิดว่าลมหายใจออกของตัวเองเป็นสำดีที่เหมือนกับอารมณ์ ความกังวลและความเครียดที่กำลังไหลออกจากร่างกายเราไป ให้ผู้ที่ถูกบำบัดหายใจเข้าและออกลักษณะนี้ซ้ำไปมา 10 , 20 หรือ 30 ครั้งก็ได้ จนกว่าผู้ที่ถูกบำบัดจะรู้สึกว่าลมหายใจที่ออกมาจากตัวเองไม่มีสีดำอีกต่อไป

5. ปลูกความเชื่อที่ดี

             หลังจากที่ผู้ถูกบำบัดเข้าสู่ภวังค์เรียบร้อย ผ่อนคลาย และปรับอารมณ์ของตัวเองผ่านการสื่อสารกับจิตใต้สำนึกไปแล้ว เทคนิคสุดท้ายคือการปลูกฝังความเชื่อที่ดี ความคิดที่ผลักดันพวกเขาสามารถเพิ่มยอดขายตามเป้าที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้ได้ ด้วยประโยคเหล่านี้

“ฉันมีความสุข ฉันรู้สึกสดชื่น”

“ฉันเชื่อว่าฉันคือนักชายที่ยอดเยี่ยม”

“ฉันเชื่อว่าฉันจะเป็น Top seller ในองค์กร”

“ฉันเชื่อว่าถ้าฉันตั้งใจ ฉันจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที”

             และเมื่อคุณสื่อสารกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว คุณค่อย ๆ ให้พวกเขาลืมตาขึ้นมา และตื่นขึ้นจากภวังค์อย่างช้า ๆ และลองถามพวกเขาดูว่าตอนนี้ ระดับความเครียดและความกังวลของพวกเขามีอยู่เท่าไหร่

            จะเห็นได้ว่ากระบวรการในการสะกดจิตไม่ใช่การร่ายสนต์คาถา หรือสิ่งลี้ลับใด ๆ เลย แต่เป็นเทคนิคในการผ่อนคลายและสื่อสารกับจิตใต้สำนึกในขณะที่ผ่อนคลายมาก ๆ หรือสภาวะที่อยู่ในภวังค์นั่นเอง ซึ่งถ้าหากว่าอยากจะเรียนรู้และศึกษาเพิ่มขึ้น สามารถติดต่อเข้ามาขอ E-book ฟรีกับทีมงานได้ผ่าน Line @leconnect ได้เลย แล้วคุณจะเปิดโอกาสให้กับตัวคุณเองเพิ่มยอดขายให้กับคุณ ทีมของคุณ และองค์กรของคุณ และที่สำคัญไปกว่านั้น คุณได้เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้ศาสตร์ที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวคุณเอง และคนรอบข้างคุณด้วย

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line : @LifeEnricher

Facebook: TheLifeEnricher

โทร: 02-017-2758, 094-686-6599

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า