
4 อุปสรรคที่ขวางการ พัฒนาตัวเอง
“ การเติบโต “ ถือเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้มนุษย์อย่างเรา พัฒนาตัวเอง และอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ และทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่มนุษย์เราไม่ได้มีอาวุธติดตัวเหมือนสัตว์นักล่า ไม่ได้มีความเร็วที่สามารถเอาตัวรอดได้ และไม่ได้มีผิวหนังหนาที่ทำหน้าที่ป้องกันตัวเราได้ แต่ด้วยความสามารถในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องของมนุษย์นี่แหละ ที่ทำให้เกิดสังคม เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นรอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ความสวยงามอีกอย่างหนึ่งของการพัฒนาก็คือ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม คุณจะเป็นคนที่ “ กำลังพัฒนา “ อยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอายุเท่าไหร่ กำลังอยู่ในช่วงเวลาไหนของชีวิต ทุกคนล้วนพัฒนาในด้านในด้านหนึ่งอยู่ตลอดเวลา เด็กทารกเพิ่งเกิดที่พยายามจะสื่อสารกับคนรอบ ๆ ตัว พยายามจะประคองตัวเองให้ลุกยืนขึ้นมาได้ ผู้สูงอายุที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่จำเป็นจะต้องเรียนรู้อะไรเลย เทคโนโลยีใหม่ ๆ ความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นพวกเขาก็ยังต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแค่คนหนุ่มสาวที่กำลังพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างผลลัพธ์ตามเป้าหมายของตัวเองเท่านั้นที่จัดอยู่ในช่วงกำลัง “ เติบโต “
และสิ่งที่น่าจะเป็นเหตุผลที่มีคุณค่ามากกว่าเป้าหมายหรือผลลัพธ์ของใครหลาย ๆ คนก็คือ เมื่อเกิดการ “ เติบโต “ ที่สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตตัวเองอย่างชัดเจน เราจะเกิดความสุขที่รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ความสุขที่ทำให้ความเหนื่อยเกือบจะหายไปในทันที ทุกคนต้องมีเหตุการณ์ที่หันกลับมามองกับตัวเองว่า “ นี่ฉันมาไกลขนาดนี้แล้วหรือ ? “ พร้อมกับนึกย้อนกลับไปในวันแรกที่ก้าวเดินเข้ามาในเส้นทางนี้ บางคนเริ่มทำธุรกิจของตัวเองก็อาจจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าในวันนี้ธุรกิจนั้นจะสร้างรายได้ 8 – 9 หลักให้กับตัวเองและครอบครัวเหมือนในปัจจุบัน บางคนที่อายุงานเยอะ ๆ บางครั้งก็อาจจะเคยนึกย้อนไปว่า วันแรกที่ก้าวเข้ามารับหน้าที่นี้ ที่ยังต้องให้รุ่นพี่คอยสอนคอยแนะนำ วันนี้เรากำลังถ่ายทอดความรู้และความสามารถให้น้อง ๆ รุ่นใหม่ที่กำลังก้าวเดินในทางเดียวกันกับเรา หรือบางคนออกกำลังกายอยู่แล้วก็หันไปมองว่าตัวเองเคยใช้น้ำหนักได้แค่นิดเดียว วันนี้เปลี่ยนไปแค่ไหน คนที่ซ้อมวิ่งจริงจังก็อาจจะตะลึงกับตัวเองที่สามารถพัฒนาจากการวิ่งไม่กี่กิโลกลายเป็น Full marathon ได้
ไอ้เจ้าความรู้สึกเหล่านี้เนี่ยแหละ ที่คอยเป็นแรงผลักดัน เป็นองค์ประกอบที่ทำให้มนุษย์เราพัฒนาต่อไปได้ แต่แน่นอนว่าทุก ๆ การเดินทางก็ไม่ได้มีแต่เรื่องสวยงามเสมอไป ไม่มีใครที่เส้นทางของพวกเขาเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวได้โดยที่ไม่เจอปัญหาเลย ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้ทำให้ใครหลาย ๆ คนเดินไปไม่ถึงปลายทาง ไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ แต่ความน่าแปลกใจก็คือ หลายคนกลับคิดว่าสาเหตุที่ตัวเองไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ให้ตัวเองได้เป็นเพราะปัจจัยภายนอกที่เป็นอุปสรรค แต่จริง ๆ แล้ว 4 ปัจจัยใกล้ตัวที่อยู่ติดกับเราจนหลายคนมองข้ามนี้ต่างหาก ที่อาจจะเป็นสิ่งที่กำลังเหนี่ยวรั้งคุณไม่ให้เดินต่อไปข้างหน้าก็เป็นได้
1. จัดการความกลัวเพื่อ พัฒนาตัวเอง
“ กลัวจนตัวขยับไม่ได้ “ นี่คงจะเป็นวลีที่หลาย ๆ คนอาจจะเจอในภาพยนตร์หรือซีรีส์แนวสยองขวัญหลอนประสาทหลาย ๆ เรื่อง คุณจะสังเกตได้ว่าตัวละครในเรื่องนั้น ๆ เมื่อเกิดความกลัวมักจะนิ่ง ไม่ขยับเนื้อขยับตัว ยืนแข็งท่ออยู่เฉย ๆ นั่นเป็นเพราะเมื่อคุณโดนความกลัวเข้าครอบงำ คุณจะหยุดการเคลื่อนไหวใด ๆ ทันที
ในชีวิตจริง ความกลัวก็ส่งผลแบบนั้นเช่นเดียวกัน แต่หลาย ๆ คนคงจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เหมือนกันกับในภาพยนตร์แน่นอน แต่สิ่งที่หลาย ๆ คนจะเจอก็คือ เมื่อคุณ “ กลัว “ คุณจะไม่เดินหน้าต่อ คุณจะไม่ลงมือทำเพราะว่าคุณ “ กลัว “ ซึ่งความกลัวที่เราพบเจอกันก็มีอยู่หลายรูปแบบ กลัวว่าจะดีไม่พอ กลัวจะไม่เป็นที่รัก กลัวจะล้มเหลว กลัวการตัดสินจากคนรอบข้าง กลัวไปไม่ถึงฝั่งฝัน…

คุณลองนึกถึงเป้าหมายที่คุณเคยอยาก พัฒนาตัวเอง หรือคุณอาจจะกำลังอยากจะได้อยู่ในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วคุณไม่ได้แม้แต่จะเริ่มก้าวแรกเลยด้วยซ้ำ ถ้าคุณอยากลดน้ำหนักดูแลรูปร่างของตัวเอง แต่คุณกลัวว่าคุณจะลำบากในตอนที่ต้องออกกำลังกาย ในตอนที่จะต้องมีวินัยในการกินอาหาร กลัวว่าคนรอบตัวจะตัดสินคุณในตอนที่คุณยังไม่ได้ล้มเหลว กลัวสายตาของคนในฟิตเนสที่จะตัดสินคุณ และเมื่อความกลัวเหล่านี้เข้าครอบงำคุณ คุณจะพบว่าตัวคุณเองไม่อยากจะเริ่มกิจกรรมอะไรเลยที่จะสร้างผลลัพธ์เกี่ยวกับรูปร่างที่คุณอยากได้ หรือแม้แต่สิ่งที่หลาย ๆ คนอยากจะได้ในชีวิตก็คือ อยากจะสร้างรายได้ให้กับตัวเอง อยากจะสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่ยังไม่กล้าที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง กลัวว่าจะล้มเหลว กลัวจะไปไม่รอด กลัวว่าตัวเองจะมีความรู้ไม่พอ ฯลฯ และสุดท้ายก็วนมาจบตั้งแต่คุณยังไม่ออกจากจุดสตาร์ทเพราะว่าคุณยัง “ ไม่ได้เริ่ม “
แต่ก่อนที่จะมองว่าความกลัวเป็นวายร้ายที่ขวางกั้นระหว่างคุณกับความสำเร็จ คุณจะต้องเข้าใจก่อนว่าความกลัวจะเป็นอุปสรรคต่อเมื่อมัน “ ครอบงำ “ คุณเท่านั้น ความกลัวจะครอบงำคุณต่อเมื่อคุณ “ ไม่ทัน “ ความกลัวเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วความกลัวทำหน้าที่เหมือนเป็น Defense mechanism หรือเสมือนระบบป้องกันของจิตใจเราอย่างหนึ่ง เพราะความกลัวมาเพื่อ “ เตือน “ คุณไม่ให้คุณเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่คุณเคยเจอเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์มาก่อน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณ “ ทัน “ ความกลัวของตัวเอง คุณรับรู้ได้ว่าข้อความที่ความกลัวนั้นกำลังบอกคุณอยู่คืออะไร เมื่อนั้นความกลัวจะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไปและจะกลายเป็น “ เครื่องมือ “ ให้คุณแทน
2. สติ
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ความกลัว ของคนเราจะกลายเป็นอุปสรรคได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ทันความกลัว ดังนั้นเครื่องมือที่จะทำให้เราทันความกลัวได้ก็คือ “ สติ “ นั่นเอง ซึ่งถ้าจะให้พูดแล้ว สติเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่หลายคนเข้าใจว่ามันคืออะไร แต่บ่อยครั้งเราไม่ได้เข้าใจจริง ๆ ว่าสติใช้งานอย่างไร ทำงานอย่างไร และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรบ้าง หลายคนจะเข้าใจว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันให้ตั้งสติ ไม่ตกใจ ไม่โหวกเหวกโวยวาย
แต่จริง ๆ แล้ว “ สติ “ เป็นเครื่องที่จะใช้จับ “ ความคิด “ ที่พุ่งขึ้นมาในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งความคิดเหล่านี้หลายคนจะไม่ทันมันว่าเกิดจากอะไร คุณจะรู้ตัวอีกทีก็คือความคิดเหล่านี้ส่งผลกับคุณจนทำให้อารมณ์และความรู้สึกของคุณผันผวนไปแล้ว บ่อยครั้งคุณจะไม่รู้ว่าคุณโกรธอะไร คุณไม่ชอบอะไร แต่มารู้ตัวอีกทีคุณก็รู้สึกหงุดหงิดไปเสียแล้ว หรือคุณอาจจะมีความคิดบางอย่างกำลัง “ เตือน “ คุณอยู่ แต่ถ้าหากว่าคุณไม่ทันความคิดนั้น คำเตือนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นความกลัวในทันที และเมื่อความกลัวเข้าครอบงำ คุณก็จะแข็งทื่อและไม่ทำอะไรทั้งสิ้น หรือคุณอาจจะหันหนีออกจากเป้าหมายและผลลัพธ์ของคุณก่อนที่คุณจะเริ่มทำเสียด้วยซ้ำ
ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะสติคุณไม่มากพอจะจับความคิดเหล่านี้ได้ทัน ด้วยเหตุนี้ “ สติที่ไม่ถูกฝึกใช้ “ จะกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้คุณไม่รับรู้ถึงปัจจัยภายในที่กำลังขวางกั้นการเติบโตของตัวคุณเอง
3. จัดพฤติกรรม
พฤติกรรมที่กล่าวถึงนี้ก็คือ พฤติกรรมที่ส่งเสริมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกสติในชีวิตประจำวัน ซึ่งจากที่กล่าวไว้ในข้อ 2 ทุกคนน่าจะเห็นความสำคัญของสติที่จะส่งผลกับอารมณ์ความรู้สึก และกับให้ความหมายกับ “ ความกลัว “ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาและเติบโตกันดีแล้ว และสาเหตุที่เราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสติได้เต็มที่ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว คนเรามักจะไม่ได้มีกิจกรรมที่ช่วยฝึกสติอยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง
พอพูดถึงการฝึกสติแล้วหลายคนอาจจะเริ่มคิดไปถึงศาสนาหรือการนั่งสมาธิ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าเข้าใจผิดว่าการฝึกสติจะเกิดได้จากพิธีกรรมทางศาสนาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การฝึกสติสามารถทำได้กับทุก ๆ กิจกรรมที่คุณสามารถจดจ่ออยู่กับมันได้ตลอดเวลา
เคยมี Workshop หนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมลองนั่งเฉย ๆ แล้วหายใจเข้า และออกอย่างช้า ๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อครบเวลาที่กำหนด ผู้เข้าร่วมทุกคนจะถูกถามว่า ในขณะที่กำลังนั่งหายใจอยู่เฉย ๆ นั้นพวกเขานึกถึงกิจกรรมอะไร สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทุกคนมักจะมีกิจกรรมที่ตนเองนึกถึงแตกต่างกันออกไปทั้งหมด มีคนบอกว่านึกถึงตอนที่นั่งตกปลากับครอบครัว มองเห็นธรรมชาติ บรรยากาศสบาย ๆ และการพยายามสังเกตตลอดวเลาว่า ปลาติดเบ็ดแล้วหรือยัง มีอีกคนบอกว่านึกถึงการนั่งฟังเพลงอยู่บนเตียง เพราะพวกเขาบอกว่าเสียงดนตรีจากเพลงโปรดของตนทำให้รู้สึกสบายใจและปล่อยวางความคิดไปได้ และบางคนบอกว่ากำลังนึกถึงตอนที่ออกกำลังกายอยู่ เพราะเวลาออกกำลังกายก็ต้องควบคุมลมหายใจลักษณะนี้เหมือนกัน ซึ่ง Workshop นี้แสดงให้เห็นว่า แต่ละคนมักจะมีกิจกรรมที่ทำให้ตัวเองในโอกาสได้ฝึกสติด้วยกการจดจ่อกับอะไรบางอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะไม่รู้ตัวหรือไม่ได้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมเหล่านั้นบ่อย ๆ เป็นประจำนั่นเอง

4. งด Social เพื่อ พัฒนาตัวเอง
Smartphone ในปัจจุบันเป็นปัจจัยใหญ่หนึ่งปัจจัยในการดำรงชีวิต จนแถบจะเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของหลาย ๆ คนไปแล้ว ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเทคโนโลยีชิ้นนี้สร้างผลลัพธ์ที่เกิดประโยชน์และความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและโลกของเรามากมาย
แต่ในคุณประโยชน์มากมายนั้นถ้าหากว่าใช้ไม่ถูกวิธี เทคโนโลยีที่สร้างประโยชน์มหาศาลได้ก็อาจจะสร้างโทษได้เหมือนกัน เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้คุณขาดสติอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะด้วยความที่ศักยภาพในการสื่อสารและส่งผ่านข้อมูลต่าง ๆ เกินขึ้นได้รวดเร็วมากด้วยเทคโนโลยีชนิดนี้ ทำให้คุณได้รับข้อมูลต่าง ๆ แบบนับไม่ถ้วน และส่วนมากแล้วเราก็มักจะไม่ค่อยเลือกรับข้อมูลกันสักเท่าไหร่ด้วย เพราะนิสัยในการใช้เทคโนโลยีชนิดนี้หลัก ๆ ของหลาย ๆ คนก็คือการใช้ Social media ไม่ว่าจะมาจาก Platform ไหนก็ตาม ทั้ง Facebook , Twitter , Instagram , Tiktok ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่วนมากจะทำให้คุณเอา “ คนอื่น “ มาเป็นปัจจัยและตัวตัดสินแทนที่จะเป็นตัวของคุณเอง คุณโพสข้อความอะไรสักอย่างใน Facebook คุณจะพบว่าตัวเองกลับมานั่งเชคอยู่ตลอดเวลาว่า ใครมากดไลก์บ้าง ใครคอมเม้นโต้ตอบอะไรกับคุณบ้าง ใครแชร์โพสของคุณ หรือ Tiktok คุณก็จะคอยกลับมาดูว่าคลิปที่คุณลงไปมีคนมาดูกี่คนแล้ว มีคนมาคอมเม้นไหม มีใครแชร์รึยัง หรือว่ามีใครเซฟวีดีโอของคุณไปหรือเปล่า ?
ทั้งหมดนี้ทำให้คุณฟุ้งซ่านกับการโต้ตอบกับผู้คนผ่านเทคโนโลยีตัวนี้อยู่เกือบจะตลอดเวลาที่คุณหยิบมือถือขึ้นมา จนทำให้คุณเกิดอารมณ์หลายอย่างพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา และยิ่งอารมณ์ออกมาเยอะ คนที่ไม่ได้ฝึกสติอยู่แล้วก็ยิ่งจับไม่ทันเข้าไปใหญ่ และอารมณ์เหล่านั้นก็กลับมาส่งผลกับผลลัพธ์ของคุณและการเติบโตของคุณเหมือนที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้นแล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคหรือปัจจัยข้อไหนก็ตาม ถ้าหากว่าคุณสามารถวิเคราะห์และสังเกตตัวเองได้ว่า มีอะไรที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับตัวคุณอยู่ในตอนนี้ คุณจะสามารถประยุกต์และจัดการกัลมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่คุณสามารถจัดการได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก แต่ความท้าทายของมันก็คือคุณ “ ไม่รู้ “ ต่างหาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความน่าทึ่งของมนุษย์ก็คือ เราสามารถพัฒนาและปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา และคุณสมบัติเหล่านี้มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณอยากจะเติบโต คุณอยากจะจัดการกับปัญหาอะไรก็ตาม ถ้าคุณตั้งใจที่จะจัดการกับมันมากพอ คุณจะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599