Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

... เปลี่ยนแปลง นิสัยแบบนี้ ก่อนจะสายเกินแก้...
โลกที่เราอยู่อาศัยในปัจจุบัน เกิดขึ้นมาด้วยการพัฒนาและวิวัฒนาการของมวลมนุษย์ ผ่านเหตุการณ์มามากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเหตุการณ์ที่เล็กน้อย และเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่จนเป็นหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าการ เปลี่ยนแปลง กับสิ่งที่เกิดขึ้นก็คงจะมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยุ่กับมุมมองของแต่ละคนที่มีเหตุการณ์แต่ละอย่างที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่สำคัญที่พวกเราได้จากเหตุการณ์เหล่านั้นคือ การเรียนรู้ และการพัฒนา ซึ่งถ้าหากว่าโลกนี้ขาดไปสักหนึ่งเหตุการณ์ ปัจจุบันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้ ลองเทียบดูว่าในตอนที่สองพี่น้องตระกูลไรท์พยายามสร้างยานพาหนะทางอากาศก็น่าจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยอยู่แน่นอน พวกเราในตอนนี้ก็ได้แต่ศึกษาแล้วก็ชื่นชมกับความกล้าที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ของพวกเขาทั้งสอง แต่เชื่อว่าถ้าย้อนเวลากลับไปตอนนั้นก็น่าจะมีคนไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์นี้แน่นอน บางคนบอกว่าเป็นการเอาชีวิตขึ้นไปเสี่ยงตายแลกกับความสะดวกสบาย หรือบางคนอาจจะกลัวว่าถ้าเทคโนโลยีนี้สำเร็จขึ้นมาจริง ๆ การขนส่งทางบกหรือทางเรือที่เป็นธุรกิจของพวกเขาอาจจะถูกขัดขวาง หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากในปัจจุบันว่าถูก “ Disrupt ” ก็ได้
แน่นอนว่าเมื่อมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นความเปลี่ยนแปลงก็จะตามมาอย่างแน่นอน บางครั้งความเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเกิดอยู่ในกลุ่มสังคมเล็ก ๆ รอบตัวคุณ หรือมีผลกระทบระดับจังหวัด หรืออาจจะสามารถมีผลกระทบวงกล้าวระดับประเทศหรือระดับโลกเลยก็เป็นไปได้ เมื่อก่อนที่เราอยู่ในยุคที่ติดต่อสื่อสารด้วยการส่งจดหมายเพียงอย่างเดียว หน่วยงานการขนส่งจึงเป็นทางเลือกเดียวที่สำหรับการติดต่อกันของคนที่อยู่ไกลกัน ข้อมูลข่าวสารที่ผู้คนรับได้มีอยู่จำกัด แต่ถ้าลองเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยี Internet ที่คุณกำลังใช้อ่านบทความนี้อยู่ ถ้าคุณหันไปมองหน่วยงานขนของรอบ ๆ ตัวคุณในตอนนี้ บอกได้เลยว่าจดหมายที่เขียนกันเพื่อสื่อสารนั้นแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว หน่วยงานขนส่งในปัจจุบันจะเน้นไปทางขนส่งพัสดุแทน
และแน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็ไม่ได้จะส่งผลดีต่อทุกคนเสมอไป ในยุคปัจจุบันพฤติกรรมการใช้บริการขนส่งไม่ได้มีแค่กับส่งสินค้าผ่านไปรษณีย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่บริการขนส่งที่นิยมใช้กันมากอย่างหนึ่งก็คือบริการ Delivery ของร้านอาหาร ซึ่งในมุมของผู้บริโภคก็ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว เหมือนมีร้านอาหารเป็นร้อย ๆ ร้านพร้อมมาส่งตรงหน้าบ้านคุณตลอดเวลาถ้าคุณพร้อมจ่าย แต่ในมุมของเจ้าของกิจการร้านอาหารในท้องถิ่นก็อาจจะรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ว่าจากการเป็นร้านข้าวมันไก่ร้านเดียวในย่านนี้ละต้องเริ่มมาแข่งกับร้านข้าวมันไก่ทั่วเขตพื้นที่ของตัวเอง เป็นต้น
เมื่อเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลเข้าถึงกันได้มากมายมหาศาล ถ้าจะบอกว่าปรับตัวไม่ทันเพราะไม่มีข้อมูลก็คงจะเป็นเรื่องที่ฟังลำบากสักหน่อย ถ้าคุณมีโอกาสหันกลับไปมององค์กรของตัวเองดูแล้วพบว่า การจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างมันยากลำบากเหลือเกิน จะแก้อะไรสักเล้กสักน้อยก็ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ระดับองค์กรยังไงยังงั้น หรืออาจจะยังไม่ต้องหันไปมองกลุ่มสังคมรอบตัวก็ได้ ลองสังเกตตัวเองดูว่าตัวคุณเอง เป็นคนที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ของสังเกตดูว่าความคิดแรกของคุณที่โผล่เข้ามาในหัวของคุณเมื่อคุณสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงได้คืออะไร ถ้าความคิดนั้นเอนเอียงไปในทางที่เป็นทางลบ ไม่ชอบ หรือไม่อยากปรับตัวตาม นี่เป็นสัญญาณหนึ่งอย่างที่กำลังจะบอกคุณว่า คุณควรจะต้องแก้ไขความคิดนี้ ก่อนที่จะสายเกินแก้
ถ้ายังไม่รุ้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ของจินตนาการตามดูว่า คุณเป็นคนที่ปั่นจักรยานไปไหนมาไหนตลอดเวลา โดยที่ไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันตัวเลย เพราะเมื่อก่อนคุณปั่นจักรยานสี่ล้อบนสนามหน้าบ้านของคุณคนเดียว ไม่ล้มแน่ ๆ แล้วก็ไม่ได้มีใครมาให้ชนด้วย แต่ปัจจุบันคุณต้องปั่นจักรยานอยู่ในละแวกบ้านเพื่อทำธุระจิปาถะ แต่คุณก็ยังไม่รู้สึกว่าจะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันอะไร เพราะคุณติดการปั่นสบาย ๆ เหมือนเมื่อก่อน ไม่ต้องพูดถึงสนับเข่าสนับศอกเลย หมวกกันน๊อคคุณยังไม่อยากใส่ เพราะมันไม่สบายตัว แต่องค์ประกอบในปัจจุบันมันแตกต่างออกไปราวฟ้ากับเหว คุณไม่ได้ปั่นจักรยานสี่ล้อเหมือนเดิมแล้ว คุณไม่ได้ปั่นตัวคนเดียวในลานบ้านของคุณแล้ว ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรอบตัวคุณแล้วแต่คุณก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิม ถ้าเป็นคุณ คุณจะยอมรับความเสี่ยงตรงนี้ไหม ? แลกความสบายเล็กน้อยกับอุปกรณ์ป้องกันที่สามารถช่วยชีวิตของคุณในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้
แน่นอนว่าหลังจากที่อ่านตัวอย่างข้างต้นไปแล้วทุกคนน่าจะเลือกการใส่อุปกรณ์ป้องกันตัวอยู่แล้ว และเชื่อได้เลยว่าถ้าหากว่าคุณรู้ว่าความเสี่ยงมันมากแค่ไหน คุณก็จะยินดีใส่แม้กระทั่งสนับเข่าสนับศอกเพื่อป้องกันตัวของคุณเองจริงไหม ? แต่น่าเสียดายที่หลายองค์กรในปัจจุบันยังเลือกที่จะไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันตัวเองอยู่ ยังเลือกที่จะปฏิบัติเหมือนเดิมในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป ที่น่าเป็นห่วงไปมากกว่านั้นก็คือ ตัวอย่างที่ยกขึ้นมา เป็นการทำกิจกรรมอย่างเดิมในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป เหมือนกับที่เขาบอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม แต่บางคนก็เลือกที่จะไม่หลิ่วตาตามก็มี แล้วยิ่งถ้าหากว่าเป็นเหตุการณ์ที่ความเปลี่ยนแปลงเป็นฝ่ายเข้ามาหาตัวคุณเองล่ะ ? พื้นที่ของคุณไม่สามารถทำกิจกรรมแบบเดิมแล้วให้ผลลัพธ์เหมือนเดิมได้อีกต่อไปเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึงตัวคุณ แล้วยิ่งถ้าหากว่าคุณไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ คุณจะรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เพราะต่อให้ตะโกนก่นด่าไปก็คงจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้ จริงไหม ? ถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าแต่ละคนจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไปตามวิธีการที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลง จะสังเกตออกง่าย ๆ เป็น 3 กลุ่มก็คือ
“เปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนที่จะโดนสภาพแวดล้อมบังคับให้เปลี่ยนแปลง”

1. เจอการ เปลี่ยนแปลง ไม่ปรับตัว ไม่รอด
ในสังคมการทำงาน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการ เป็นหัวหน้าในองค์กร หรือเป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาเริ่มทำงาน ถ้าหากว่าคุณสัมผัสได้ว่าองค์กรของคุณแลดูจะไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเลย คุณอาจจะต้องพิจารณาอนาคตของตัวเองดี ๆ แล้วว่า คุณยังจะสามารถเติบโตกับองค์กรในปัจจุบันได้อยู่จริงหรือ ? เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เรายังเป็นองค์กรหลายองค์กรต้องล้มลงไปเพราะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลงแต่เราไม่ได้ปรับตัวแล้วนั้น สิ่งที่คุณทำได้มากที่สุดก็คงจะไม่พ้นการภาวนาให้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ซึ่งก็ไม่น่าจะคาดหวังได้สักเท่าไหร่นัก
2. เจอการ เปลี่ยนแปลง แล้วเปลี่ยนทัน รอด
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างก็ไม่ได้มีสัญญาณเตือนล่วงหน้ามากพอที่จะทำให้ทุกคนเตรียมตัวได้ทันตลอดเวลา แต่วัฒนธรรมองค์กรที่เกิดจากผู้นำที่ดี จะทำให้องค์กรสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ตัวอย่างที่เห็นกันได้ชัดเลยก็คือ ร้านอาหารปรับเปลี่ยนวิธีการขายจากหน้าร้านเป็นการส่ง Delivery กันเป็นแทบ บางร้านโชคดีหน่อยที่มีระบบการจัดส่งในตัวอยู่แล้ว แต่บางร้านที่ไม่เคยมีบริการห่ออาหารกลับบ้านเลยอาจจะติดขัดเล็กน้อยในช่วงแรก แต่ก็จะสามารถเอาตัวรอดในวิกฤตการณ์ได้ และอาจจะสามารถพัฒนาตัวเองจนเติบโตขึ้นมาในวิกฤตด้วยซ้ำ

3. เห็นปัญหาล่วงหน้า และ เปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นจริง
ประเภทนี้จะเป็นแบบที่คนส่วนใหญ่จะหันมามองแล้วอาจจะบอกว่า โชคดีจังที่มีวิธีรับมือเตรียมไว้ดีอยู่แล้ว ประหนึ่งว่าโดนไฟก็ไม่กลัวเพราะเตรียมน้ำไว้ดับเยอะ หรือบางคนก็อาจจะบอกว่า ถ้ารู้ว่าไฟจะมาน้ำแค่นี้เตรียมไว้ได้สบายอยู่แล้ว การเตรียมการอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจสักเท่าไหร่ เพราะวิธีการแก้ปัญหาก็มักจะเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ไม่เกินกำลังของใครหลาย ๆ คน แต่ประเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้นำเหล่านี้แตกต่างก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ วิสัยทัศน์ “ นั่นเอง
เพราะผู้นำคุณภาพเหล่านี้จะมองเห็นปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นเสมอ หรือบางครั้งอาจจะพยายามมองหาปัญหาที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ และไม่ลังเลที่จะใช้ทรัพยากรที่ถูกจัดเอาไว้เพื่อเตรียมตัวในการรับมือกับปัญหาที่ยังไม่เข้าถึงตัวเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่พวกเขากำลังพัฒนาอะไรบางอย่างอยู่ พวกเขาจะมองหาช่องโหว่หรือโอกาสที่จะทำให้ปัญหาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้พวกเขามีวิสัยทัศน์มากพอที่จะวางแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้า และต่อให้บางครั้งพวกเขาไม่ได้มีทรัพยากรมากพอที่จะหาวิธีรับมือกับปัญหารอบด้านได้ตลอดเวลาอย่างน้อยที่สุดคือพวกเขาจะมี protocol เตรียมเอาไว้พร้อมที่จะตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าใครอ่านก็อยากจะให้ตัวเองเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มที่ 3 ทั้งสิ้น มีวิสัยทัศน์ พาช่องว่างได้ดี และความเสี่ยงที่ธุรกิจจะล้มก็ต่ำกว่าเขาเพื่อน ซึ่งการที่จะเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์จำเป็นจะต้องเปิดกว้างเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง และเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตัวเอง ปล่อยวางอีโก้ในตัวที่คอยแต่จะคิดว่าวิธีที่ทำให้ตัวเองมายืนอยู่ในจุดนี้ ดีที่สุดแล้ว
“วิธีที่ทำให้คุณมาอยู่ในจุดยืนปัจจุบันของคุณ จะไม่สามารถพาคุณไปยืนในจุดที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้ได้”
เรื่องการ เปลี่ยนแปลง ไม่ได้มีอยู่แค่ในมิติหน้าที่การงานเหมือนที่ยกตัวอย่างมาเท่านั้น มิติอื่น ๆ ในชีวิตของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เราพร้อมไหมถ้าวันหนึ่งเราล้มป่วยทำงานไม่ได้ เราสามารถดูแลตัวเองและคนที่สำคัญกับเราในขณะที่เราป่วยได้ไหม หรือถ้าวันใดวันหนึ่งบางสิ่งบางอย่างที่คุณคิดว่าจะอยู่กับคุณไปตลอดได้หายไปจากชีวิตคุณแล้ว คุณจะทำอย่างไร ทุก ๆ ครั้ง ที่ลูกศิษย์ได้เรียนกับผม ผมจะบอกเสมอว่า นิสัย วินัย คือ ตัวแปรสำคัญที่สรา้งผลลัพ์ได้ดี การกระทำเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน ผลลัพธ์ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย เพราะฉะนั้นวางเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้คุณยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ แล้วหันมาปรับตัวไปพร้อม ๆ กับโลกที่เปลี่ยนแปลงจะดีไหม ? ผมเข้าใจคุณมาก ๆ ครับ ว่าประสบการณ์ในอดีตบางอย่างอาจจะทำให้คุณไม่กล้าไปต่อ เชื่อผมเถอะครับ ว่า การเปลี่ยนนิสัยจะทำให้คุณใกล้ความสำเร็จได้มากกว่าเดิม ในส่วนคำถามที่อยากจะให้ทุกคนหมั่นถามตัวเองอยู่สม่ำเสมอคือ ฉันในตอนนี้พร้อมจะเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง และถ้าใช่ อะไรที่คุณจะทำให้เปลี่ยนไปในวันพรุ่งนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ของตัวคุณเอง และคนที่คุณรักได้บ้าง?
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599