
แค่ทำตามคนสำเร็จก็พอ จริงหรือ?
“ความสำเร็จ” คือหนึ่งคำที่ฟังดูหอมหวาน และสร้างแรงกระตุ้นให้คนหลายๆคนพัฒนาตัวเอง พยายามถีบตัวเองข้ามขีดจำกัด เพื่อมุ่งไปสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมในชีวิต ซึ่งคำว่า “ความสำเร็จ” ของแต่ละคนก็คงจะไม่เหมือนกัน บางคนให้ความหมายกับความสำเร็จว่า “ต้องมีอิสระทางการเงินสิ อยากทำอะไรได้ทำ อยากกินอะไรได้กิน อยากจะไปไหนก็ได้ไป” บางคนก็ให้ความหมายว่า “การใช้ชีวิตทุกวันนี้ได้โดยที่ไม่ต้องห่วงภาระและครอบครัว ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จแล้ว” บางคนบอกว่า “แค่ส่งลูกเรียนจบได้ ก็เป็นความสำเร็จแล้ว” ไม่ว่าความสำเร็จของแต่ละคนจะเป็นอะไรก็ตาม ความกระหายความสำเร็จนี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้คุณออกแรงก้าวเดินต่อไปในทุกๆวัน แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางที่คุณกำลังเดินอยู่นั้น คือความสำเร็จที่คุณต้องการ “จริงๆ”?
วิธีการดำเนินชีวิต หรือกลยุทธ์ในการใช้ชีวิต ถ้าจะให้พูดถึงก็คงจะแยกออกมาได้เป็น 3 ข้อใหญ่ๆ ก็คือ
1. คนที่ทำแบบเดิม คิดแบบเดิม แต่หวังผลลัพธ์แบบใหม่
คนที่ใช้กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายยิ่งใหญ่ ชัดเจน แต่ว่าเลือกใช้วิธีเดิมๆที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์อะไรให้เกิดขึ้นมาวนไปวนมาอยู่แบบนั้น และในทุกๆครั้งที่ทำเหมือนเดิมจะหวังผลลัพธ์แบบใหม่ ถ้าให้เทียบคือพวกเขาจะเดินก้าวแรก เดินก้าวที่สอง แต่เขาจะเดินมาตกหลุมที่ก้าวที่สาม กลยุทธ์ที่เขาใช้กับเรื่องนี้คือเขาจะกลับไปเดินก้าวแรกใหม่ที่เดิม ก้าวที่สองที่เดิม และก้าวที่สามที่แน่นอนว่าจะกลับมาตกหลุมอันเดิมใหม่อีกรอบ วนไปวนมาอยู่แบบนี้ แต่ในทุกๆครั้งพวกเขาจะหวังว่าก้าวที่สามจะไม่ตกหลุมเหมือนเดิม กลยุทธ์นี้สามารถทำให้เกิดความสำเร็จได้เช่นกัน แต่ก็อาจจะต้องพึ่งโลคลาภและดวงชะตามากหน่อย เพราะเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหลุมที่เดินตกลงไปเรื่อยๆจะถูกกลบเมื่อไหร่ แล้วถ้าเดินต่อไปจะเจอหลุมถัเไปอีกไหม? ซึ่งเมื่อมองในผิวเผินอาจจะคิดว่าพวกเขาคิดไม่เป็น ไม่พัฒนา ไม่แก้ปัญหา แต่อาการนี้อาจจะเกิดขึ้นจากความเชื่อบางอย่างที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกก็เป็นได้
2. คนที่ทดลองอะไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ
หลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกับชื่อกลยุทธ์นี้ในอีกชื่อหนึ่งว่า A,B Testing กลยุทธ์นี้คือการทดลองสิ่งใหม่ๆเสมอ หรือก็คือการลองผิดลองถูกนั่นเอง ซึ่งกลยุทธ์นี้จะทำให้เกิดการเรียนรู้ การพัฒนาอย่างฉลาดด้วยการเก็บสถิติในทุกๆการกระทำ กลยุทธ์นี้จะทำให้เห็นข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นและนำมาใช้เป็นบทเรียนที่ทำให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ ข้อเสียอย่างเดียวของกลยุทธ์นี้คือ ถ้าไม่มีดวง อาจจะเสียเวลานานมากๆ กว่าจะไปถึง “ความสำเร็จ” ที่หวังเอาไว้ได้ คงไม่มีใครที่จะสำเร็จโดยที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อนได้ บางคนลองทำแล้วล้ม ลุกแล้วล้มอีก เป็นสิบๆครั้งก็มี แต่บางคนจับถูกเรื่อง อาจจะไม่ได้ล้มเหลวบ่อยครั้งนักก็สำเร็จได้
3. คนที่เรียนรู้และเดินตามคนที่สำเร็จ
อย่างสุดท้ายเลยคือ การ Role Modeling หรือการเดินตามคนสำเร็จ เพราะคนสำเร็จคือคนที่ทำ A,B Testing มามาก ล้มลุกคลุกคลานมามาก เห็นปัญหานับไม่ถ้วนและผ่านมันมานับไม่ถ้วนถ้าเทียบกับการทำอาหารก็คือ ถ้าจะทำอาหารสักจานหนึ่งให้มีรสชาติดี เรามักจะไปหาสูตรเด็ดของจ้าวต่างๆมาทำตาม แทนที่จะพยายามปรุงเองทีละขั้นตอนโดยที่ไม่รู้ และต้องลองปรับเปลี่ยนส่วนผสมไปเรื่อยๆอยู่แล้ว แน่นอนว่าการลองพยายามปรับปรุงเองทีละขั้นแล้วปรับไปเรื่อยๆ ก็สามารถไปถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน แต่การหาสูตรมาทำตามจะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะเวลาที่สั้นกว่ามาก ขนาดเชฟที่มีประสบการณ์เยอะยังต้องลองผิดลองถูกหลายครั้งในการคิดค้นเมนูใหม่ แล้วคุณที่ไม่ได้มีประสบการณ์เท่าเชฟ จะต้องลองผิดลองถูกนานแค่ไหน กว่าจะได้อาหารรสเลิศมารับประทาน

ความดีงาม.. ที่ต้องมีสติ
นักธุรกิจชาวแคนนาดาท่านหนึ่งเคยพูดถึงกับดักอันใหญ่อย่างหนึ่งที่ชื่อว่า Shining Object Syndrome ซึ่งกับดักอันนี้ทำให้คนยุคปัจจุบันหลงเข้าไปกันจนอาจจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุขเลย บางคนอาจจะถึงกับหาทางเดินในชีวิตไม่เจอ เจ้า Shining object syndrome นี้คืออาการของคนที่ให้ความสนใจกับอะไรบางอย่าง จนพยายามสุดชีวิตเพื่อจะคว้ามันมาให้ได้ แต่เมื่อพวกเขารู้แล้วว่าสิ่งที่เค้าสนใจนั้นคืออะไร พวกเขาจะหมดความสนใจกับสิ่งนั้นทันที
กับดักอันนี้มีผลทำให้ใครหลายๆคนที่กำลังไล่ตามความสำเร็จหลงทางกันมานักต่อนัก เพราะ บ่อยครั้งเรามักจะเอาแต่วิ่งตามความสำเร็จของคนอื่นที่คุณเห็น เช่น คุณเห็นคนรู้จักบางคนของคุณเทรดหุ้นตลอดเวลา ไม่ต้องออกไปทำงานเหมือนคุณ แต่เขาได้เงินเยอะกว่าคุณ ตาเป็นประกายขึ้นมาเพราะคุณกำลังเห็นความสำเร็จที่สะดวกสบายอยู่ตรงหน้าแล้ว เมื่อคุณเห็นคุณก็ไม่รอช้าที่จะกระโจนเข้าไปในสนามรบของการเทรดหุ้น โดยที่คุณไม่มีความรู้อะไรเลย หลายๆคนที่เล่นหุ้นหรือเทรดค่าเงินต่างๆนาๆก็คงจะเข้าใจกันดีว่า การเข้ามาในสนามการเล่นหุ้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นหวยที่ออกทุกๆนาทีนั่นเอง และทันทีที่คุณเห็นว่าการเทรดหุ้นมันไม่ใช่วิธีรวยทางลัดอย่างที่คุณหวังไว้แต่แรก คุณก็จะเดินถอยห่างออกจากมันไปพร้อมกับบาดแผลมากมาย เหมือนกับการเห็นลูกแก้วสีสันสวยงามจากไกลๆ แล้วคุณก็พยายามวิ่งไล่มัน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือเมื่อคุณเอื้อมมือถึงลูกแก้วอันนั้นคุณถึงจะเห็นว่านั่นไม่ใช่สีที่คุณชอบเหมือนตอนเห็นไกลๆ มันไม่ได้สวยเหมือนที่คุณคิด แล้วคุณก็มองหาลูกแก้วอันใหม่ที่ดึงดูดความสนใจของคุณ นี่คืออาการของ Shining object syndrome
แล้วการเดินตามคนสำเร็จเนี่ย มันดีจริงหรือ? ถ้ามันดีจริงๆทำไมถึงมีคนที่เจ็บตัวจากการทำตามคนอื่นล่ะ? คำตอบคือ การเดินตามเส้นทางของคนสำเร็จเป็นผลดีแน่นอน เพราะทุกความสำเร็จจะมีบทเรียนให้คุณเสมอ คุณจำเป็นจะต้องมีสติและเรียนรู้จากมัน ไม่ใช่ว่าคุณเห็นอะไรที่ดูดีและน่าสนใจคุณก็หลับหูหลับตาวิ่งไล่ตะครุบมันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าสมมติว่าผลลัพธ์คุณอยากได้คือเลข 2 และคุณเห็นตัวอย่างว่ามีคนอื่นใช้วิธี 1+1 ก็ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 2 แล้ว แต่ถ้าคุณไม่หันกลับมามองทรัพยากรที่คุณมีว่า คุณไม่ได้มีเลข 1 สองตัวที่พร้อมจะบวกกันแล้วได้ 2 เลย แต่ตัวเลขที่คุณถืออยู่ในมือมีค่าแค่ 0.1 สองตัว แน่นอนว่าคุณไม่มีทางได้ผลลัพธ์ที่เป็นเลข 2 ด้วยวิธีบวกแน่นอน และความสำเร็จมันไม่ได้ง่ายเหมือนสมการ 1+1 = 2 อยู่แล้วองค์ประกอบในความสำเร็จนั้นมันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าภาพที่คุณเห็นอีกมากมาย
ดังนั้นก่อนที่คุณจะวิ่งตามคนสำเร็จ คุณจะต้องมองเส้นทางที่เขาเหล่านั้นเดิน ระหว่างทางเดินเขาทำอะไรบ้าง เค้าเจอกับอะไรมาบ้าง เค้าสร้างผลลัพธ์ได้เพราะอะไร เค้าล้มเหลวกับเรื่องบางเรื่องเพราะอะไร ฯลฯ และเมื่อคุณเห็นเส้นทางที่พวกเขาเดินอย่างชัดเจนแล้วคุณจะต้องหันกลับมามองทรัพยากรของคุณก่อนว่าคุณมีอะไรบ้าง ซึ่งทรัพยากรภายในที่ว่า ก็คือตัวคุณเองนั่นแหล่ะคุณพร้อมที่จะเดินไปในเส้นทางเดียวกันกับเขาไหม? ถึงแม้ว่ามันจะดูง่ายว่าคุณอาจจะไม่ต้องคิดหาวิธีเอง แต่สุดท้ายแล้วคุณก็ต้องเป็นคนที่ลงมือทำเองอยู่ดี เพราะฉะนั้น การรู้จักทรัพยากรที่ตัวเองมี หรือการเข้าใจตัวเองคือเรื่องที่คุณจะละเลยไปไม่ได้
รู้จักตัวเอง
ก่อนจะวิ่งตามใครให้มองตัวเองว่าตัวฉันเป็นอย่างไร บางคนอาจจะรู้ บางคนอาจจะไม่รู้ หรือบางคนอาจจะยังไม่เคยสังเกตตัวเองในบางมิติของชีวิต ถ้ายังไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอย่างไร ลองใช้คำถามเหล่านี้หาคำตอบที่อยู่ในตัวของคุณเองดู
- จุดแข็ง
จุดแข็งของคุณคืออะไร? อะไรที่คุณรู้สึกมั่นใจที่จะลงมือทำตลอดเวลา คุณเก็บสถิติเก่ง? คุณพูดนำเสนอเก่ง? คุณเรียนรู้ได้เร็วมาก? คุณมีสมรรถภาพร่างกายยอดเยี่ยม? ฯลฯ เรื่องที่คุณกล้าพูดให้คนอื่นฟังว่าคุณถนัด และเรื่องที่คนอื่นมักจะมาขอความช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำจากคุณ
- จุดอ่อน
นอกจากจุดแข็งแล้ว จุดอ่อนก็เป็นเรื่องที่คุณต้องหาและยอมรับให้ได้ เพราะคุณจะได้ใช้เป็นเหตุผลในการพิจารณา เมื่อคุณจะต้องเลือกว่าคุณจะเดินในเส้นทางไหน อย่างเช่น ถ้าคุณอยากจะเป็น Youtuber แต่คุณพูดไม่เก่ง และไม่กล้าพูดเลย คุณไม่สามารถพูดต่อหน้าคนได้ ถึงแม้ว่าการทำ Content ใน Youtube จะไม่ใช่การสื่อสารสดๆกับผู้ฟังก็ตาม เพียงแค่ความคิดที่ว่ามีใครบางคนกำลังฟังคุณอยู่คุณก็พูดไม่ออกแล้ว คุณอาจจะต้องตัดสินใจว่าคุณยังอยากเดินในเส้นทางการเป็น Content Creator นี้ไหม? ถ้าคุณคิดว่าคุณอยากเป็น คุณอาจจะต้องเลือก Content แบบที่น่าสนใจโดยที่ไม่ต้องมีเสียงพูดบรรยาย เป็นต้น
ซึ่งสิ่งที่อยากที่สุดในการหาจุดอ่อนคือ คุณจะต้องยอมรับมันว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันทำได้ดี หลายๆคนยอมรับได้และกล้าสื่อสารกับผู้อื่นว่า “ฉันไม่ถนัดสิ่งนี้” แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังไม่ยอมรับกับตัวเองตรงๆ ซึ่งถ้าคุณไม่ยอมรับ คุณจะไม่สามารถรู้จักกับตัวคุณเองได้จริงๆ และจะทำให้คุณไม่สามารถพัฒนาได้อีกด้วย
เมื่อคุณยอมรับแล้ว วิธีการสังเกตง่ายๆคือ เรื่องที่ไม่ว่าคุณจะพยายามมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณยอมรับได้เสียที เรื่องที่คุณไม่มั่นใจที่จะทำเลย หรือเรื่องที่ไม่ว่าคุณจะศึกษามันเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจสักที
- ความชอบ คุณชอบอะไร?
งานอดิเรกเล็กๆน้อยๆที่คุณเคยทำ เรื่องที่คุณมักจะนึกถึงเมื่อมีเวลาว่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วยังให้ประโยชน์สำหรับคุณในตอนนี้ เช่น เมื่อก่อนคุณชอบตระเวนกินอาหารร้านใหม่ๆกับเพื่อน คุณชอบวาดรูป คุณเคยรักการท่องเที่ยวเอามากๆ คุณเคยสนุกกับการทดลองแปลกๆสมัยเรียน ฯลฯ
เรื่องเหล่านี้ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าคุณได้ลองลิสต์ออกมาทั้งหมด เชื่อว่าคุณจะหาข้อดีบางอย่างที่คุณจะสามารถเอามาต่อยอดได้ไม่มากก็น้อย เพราะในเมื่อเป็นเรื่องที่คุณชอบหรือเคยชอบ เรื่องนั้นจะต้องให้ประโยชน์กับคุณแน่นอน และถ้าเรื่องบางเรื่องให้ประโยชน์กับคุณ เรื่องเหล่านั้นก็น่าจะให้ประโยชน์กับคนอื่นได้ไม่มากก็น้อยแน่นอน
- ไม่ชอบอะไร
นอกจากความชอบแล้ว คุณก็ต้องชัดเจนกับตัวคุณเองด้วยว่า คุณไม่ชอบอะไร เพราะความไม่ชอบนี้จะสร้างอารมณ์ลบ และจะทำให้สภาวะอารมณ์ของคุณไม่ดีแน่นอน และเมือสภาวะอารมณ์ไม่ดี คุณก็คงจะไม่มีแรงขับที่มากพอจะเดินต่อไปจนถึงเป้าหมายหรือผลลัพธ์ได้แน่นอน
แต่ทุกคนก็คงเข้าใจดีว่า โลกนี้มันคงไม่ตามใจเราไปเสียทุกอย่าง การรับรู้ว่าเราไม่ชอบอะไร ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องไม่เลือกเส้นทางเดินที่มีสิ่งที่คุณไม่ชอบเลยแม้แต่น้อยได้ แต่การรู้ว่าเราไม่ชอบอะไร จะทำให้คุณจัดการกับอารมณ์ลบที่เกิดขึ้นมาได้ง่ายกว่าอย่างแน่นอน เพราะคุณจะรู้ถึงสาเหตุของอารมณ์ลบเหล่านี้ และจัดการกับมันได้ไวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

- ไลฟ์สไตล์แบบไหน
วิธีการใช้ชีวิตของคุณเป็นแบบไหน คุณมีความสุขกับการทำงานอยู่กับบ้าน หรือ คุณรู้สึกดีที่ได้เจอเพื่อนรวมงานด้วยการออกไปทำงานที่บริษัท คุณอยากเข้าทำงานเวลาสายๆเพราะคุณชอบมีเวลาช่วงเช้าไปออกกำลังกาย หรือคุณอยากเข้างานเร็วแล้วรีบกลับมาใช้เวลากับครอบครัวของคุณ
การเข้าใจไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของคุณก็คือการเข้าใจ Flow ในการทำงานของตัวคุณเอง ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายอะไรว่าการมี Flow การทำงานที่ดีสำคัญแค่ไหน เพราะฉะนั้น ชัดเจนกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง แล้วเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์แบบของคุณดีที่สุด
- อยากทำงานกับคนกลุ่มไหน
การทำงานร่วมกับคนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมองค์กร หรือเพื่อนร่วมงานก็ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้คุณอยู่กับงานต่อไปได้ ต่อให้คุณจะเป็น Freelance ที่ทำงานคนเดียว แต่ไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการคุยกับลูกค้าได้อยู่ดี
ดังนั้นการศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมของคนรอบตัวคุณไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานก็ดี ลูกค้าก็ดี คุณเลือกได้ว่าถ้าคุณอยากจะเจอคนที่มีมุมมองอย่างหนึ่ง หรือมีความสนใจเรื่องบางอย่าง อยู่ในธุรกิจแบบไหน หรือลูกค้าที่คุณจะต้องเข้าหามีพฤติกรรมอย่างไร คุณจะสามารถทำงานกับลูกค้าส่ววนใหญ่ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ได้หรือไม่ แต่ก็อย่างที่ทุกท่านเข้าใจดีว่าโลกนี้มันคงไม่ตามใจเราเสียทุกเรื่อง การมีความชัดเจนในเรื่องความชอบในการทำงานกับคนประเภทไหนจะช่วยให้คุณจัดการและเตรียมตัวรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ดีมากยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่า “ความชัดเจนในตัวเอง” คือกุญแจสำคัญในการตัดสินใจเลือกทางเดินใดทางเดินหนึ่ง ซึ่งความชัดเจนที่คุณควรจะมีนั้นมีหลายมิติมากๆอย่างที่ได้เห็นกัน ถึงแม้ว่าหลายๆเรื่องที่กล่าวถึงจะเป็นเรื่องที่ดูไม่สลับซับซ้อนอะไร แต่ก็มักจะเป็นเรื่องที่หลายๆคนมองข้าม เพราะฉะนั้นไม่ว่าโลกจะมีอะไรน่าสนใจมากแค่ไหนก็ตาม อย่าลืมหันกลับมามองตัวเอง หันกลับมาสังเกตตัวเองและชัดเจนกับตัวเอง ก่อนจะที่ออกไปเลือกเส้นทางที่ตัวเองชอบ จากนั้นคุณจะเห็นเส้นทางที่ใช่สำหรับคุณ และเลือก Role model ที่เหมาะกับคุณ เรียนรู้ พัฒนา และสร้างผลลัพธ์เพื่อความสำเร็จที่คุณวาดฝันเอาไว้
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599