3 สิ่งที่ต้องมีในการเป็นโค้ชมืออาชีพ

            “การพัฒนาตัวเอง” เป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงและให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆในยุคสมัยนี้ และคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่ ในเมื่อมีคนที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาตัวเอง ก็ย่อมจะมีคนที่อยากจะประกอบอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองขึ้นมา และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองก็มีหลากหลาย และอาชีพโค้ช ก็เป็นหนึ่งในอาชีพที่เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้

             และเมื่อเกิดเป็นอาชีพขึ้นมา การแข่งขันย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเรื่องการตลาด การ Branding ตัวเอง ฯลฯ และสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ คือการสร้างความเชื่อใจให้กับลูกค้า หากต้องการความไว้เนื้อเชื่อใจจากลูกค้า “ความเป็นมืออาชีพ” จึงเป็นหนึ่งเรื่องที่ไม่สามารถละเลยได้ และในบทความนี้จะกล่าวถึงองค์ประกอบ 3 อย่างที่คุณจะต้องมี หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ต้องการจะเป็น “โค้ชมืออาชีพ”

1. ความรู้ (Knowledge)

อย่างที่ทราบกันดีว่า “การพัฒนาตัวเอง” เป็นหัวข้อที่กว้าง หลากหลาย และถึงแม้ว่าจะเป็นหัวข้อเดียวกัน วิธีการพัฒนาตัวเองของแต่ละคนในหัวข้อนั้นๆย่อมต่างกันออกไป สำหรับผู้ที่ต้องการจะประกอบอาชีพที่ส่งเสริมการพัฒนาตัวเอง หากต้องการจะถ่ายทอดความรู้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาตัวเองในหัวข้อต่างๆ หมายความว่าคนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้จะต้องมีความรู้เฉพาะทางในแต่ละด้าน เช่น Mentor ที่เป็นผู้มีประกสบการณ์ในด้านการร้องเพลง การแสดง มาถ่ายทอดสิ่งที่ตนเองเคยทำให้นักแสดงฝึกหัดหน้าใหม่ , Trainer ที่จัดสัมนาการสอนเกี่ยวกับการลงทุน หรือ Consultant ด้านการจัดการที่คอยชี้ปัญหาในองค์กรและบอกวิธีแก้ไขอย่างเป็นระบบ

ถึงแม้ว่าโค้ชดูจะเป็นอาชีพที่อาจจะไม่จำเป็นจะต้องมีความรู้เฉพาะทางก็ได้ เพราะทักษะการโค้ชสามารถกับใครก็ได้ เพื่ออะไรก็ได้ ไม่ว่าคนที่ถูกโค้ช (Coachee) จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า หรือจะประกอบอาชีพที่หลายๆคนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่อาชีพโค้ชก็จำเป็นจะต้องมีความรู้ที่ถูกต้องเช่นกัน

โค้ชคืออะไร?

             คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่ไม่น่าถามสักเท่าไหร่ ในเมื่อประกอบอาชีพนี้แล้วก็ต้องทราบกันดีอยู่แล้วว่าเราต้องทำอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เห็นกันได้ทั่วไปคือ คนที่เรียกตัวเองว่า “โค้ช” หลายๆคนไม่ได้ใช้ทักษะการโค้ชที่ถูกต้องด้วยซ้ำ คนที่เรียกตัวเองว่าโค้ชหลายคนยังคงให้คำแนะนำ และสอนลูกค้าหลายๆคนอยู่ “ถ้าคุณจะสำเร็จ คุณต้องทำแบบนี้” “คุณทำตามที่ผมบอกและคุณจะประสบความสำเร็จ” และการแนะนำในลักษณะนี้ ไม่ใช่โค้ช

             โค้ชไม่ใช่การสอน ไม่แนะนำหากไม่ได่รับอนุญาต แต่จะตั้งคำถามเท่านั้น อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า แต่ละอาชีพที่ส่งเสริมการพัฒนาตัวเองมีบริบทในการส่งเสริมแตกต่างๆกันออกไป หน้าที่ของโค้ช คือการตั้งคำถาม เท่านั้น และคำตอบทุกอย่างจะมาจาก Coachee เท่านั้น เพราะบริบทของโค้ชคือ ตั้งคำถาม ฟังคำตอบ และสะท้อนสิ่งที่ Coachee พูดกลับไป เพราะโค้ช เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพมากพอที่จะประสบความสำเร็จ ด้วยทรัพยากรที่ตัวเองมีได้ ดังนั้นความรู้ในการตั้งคำถาม จึงเป็นหนึ่งในความรู้ที่อาชีพโค้ชควรจะมี   

 

– ชีวิตของคุณต้องการอะไร ?

– คุณต้องการมากขนาดไหน ?

– มีอะไรต้องการมากกว่าสิ่งนี้ไหม ?

– ถ้างั้นวันนี้เรามาคุยกันเรื่องที่คุณต้องการนี้ดีไหมครับ ?

– ช่วยบอกผมหน่อย ว่าทำไมคุณถึงอยากได้ผลลัพธ์นี้ ?

– ถ้าได้ผลลัพธ์นี้แล้ว มันให้อะไรกับคุณครับ ?

– ปัจจุบัน คุณอยู่ตรงไหน ?

– ปลายทางที่อยากได้คืออะไร ?

– อยากให้เป้าหมายนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ?

– ตอนนี้อะไรที่ขวางอยู่ระหว่างคุณและเป้าหมายของคุณบ้าง อะไรที่หยุดคุณเอาไว้อยู่ ทำไมมันถึงชะลอคุณลงได้ ?

มีอย่างอื่นอีกไหมที่กำลังหยุดไม่ได้คุณเดินหน้าต่อ ?

– มีโอกาสอะไรบ้างที่ทำให้คุณสามารถพัฒนาตัวเองต่อได้ มีอย่างอื่นอีกไหม มีใครที่พอจะช่วยคุณได้ไหม ?

– มีทรัพยากรไหนบ้าง ที่คุณมีอยู่ แต่คุณยังไม่ได้ใช้มัน ?

– นอกจากทั้งหมดที่ตอบมาแล้ว มีอะไรอีกบ้างที่สามารถนำมาใช้เพื่อไปถึงผลลัพธ์นี้ได้เร็วขึ้น ?

– เมื่อเช้าใจทั้งหมดนี้แล้ว คุณอยากจะลงมือทำอะไรบ้าง? เริ่มเมื่อไหร่ วันไหน กี่โมง ถ้าเรียบร้อยแล้ว อัพเดตผมด้วย ?

– คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง ?

             นี่คือชุดคำถามที่ใช้ในการโค้ชทั้งหมด จะเห็นได้ว่าทุกคำถาม เป็นคำถามปลายเปิดทั้งสิ้น ดังนั้นการใช้คำถามจะไม่ใช่การตั้งคำถามเพื่อชักจูง หรือการตั้งคำถามเพื่อหวังคำตอบบางอย่างจาก Coachee เพราะคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคนหนึ่งคน ย่อมจะต้องมาจากตัวเองเท่านั้น

             และในเมื่อโค้ชตั้งใจตั้งคำถาม ย่อมต้องมีการฟังในระดับลึกที่ปราศจากการตัดสิน และความเห็นส่วนตัวของโค้ช ไม่เช่นนั้นคำถามปลายเปิดที่เปิดโอกาสให้ Coachee หาคำตอบที่อยู่ในตัวเองออกมาจะไม่มีผลเลย หากโค้ชเอาความเชื่อของตัวเองใส่ลงไปในคำตอบ และพยายามชักจูง Coachee ไปในทางที่ตัวโค้ชเชื่อว่าถูกต้อง

             การตั้งคำถามที่ดี การฟังที่ลึกและไม่ตัดสิน จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากว่ามี Mindset ไม่ถูกต้อง ถ้าคุณมาเป็นโค้ชเพราะคิดว่า “ฉันเก่ง” “คำตอบของฉันดีที่สุด” “เพราะคุณคิดแบบนี้ไง คุณถึงไม่สำเร็จ” ถ้าคุณยังไม่ปล่อยความเป็นตัวเอง และคุณตัดสินคนอื่น อย่าว่าแต่โค้ชมืออาชีพเลย คุณไม่ใช่โค้ขด้วยซ้ำ เมื่อคุณมาเป็นโค้ช คุณไม่ได้มาเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าฉันเก่ง ฉันให้คำตอบที่ทำให้คนไปถึงเป้าหมายได้ แต่คุณมาเพื่อบอกให้ Coachee รู้ว่า “คุณเก่ง” และทรัพยากรที่คุณมีทั้งหมดมันสามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ได้ 

ตัวอย่าง Core Competency หรือส่วนประกอบสำคัญของการเป็นโค้ชที่คุณควรจะต้องเข้าใจคือ

คุณแต่งตัวเหมาะสมไหม

คุณชัดเจนกับกฎกติกาที่วางไว้และถ่ายทอดให้ Coachee รับรู้อย่างครบถ้วนหรือไม่

คุณมีใบสัญญาระหว่างคุณกับ Coachee ไหม

คุณกำลังชักจูง Coachee ของคุณหรือไม่

คำถามที่คุณใช้ ถูกต้องตามจรรยาบรรณของโค้ขไหม

             หากต้องการจะเป็นโค้ชมืออาชีพ ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่ขาดไปไม่ได้ คุณจะเป็นมืออาชีพไม่ได้ หากคุณยังไม่เข้าใจว่าคำถามของคุณ จะมีผลกับ Coachee อย่างไร ถ้าการฟังของคุณ ยังมีความคิดและความเชื่อของคุณปะปนอยู่เต็มไปหมด คุณก็จะไม่สามารถสะท้อนออกมาได้ และเงื่อนไขต่างๆที่คุณตั้งขึ้นกับ Coachee มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ดังนั้นสิ่งสำคัญคือคุณควรหาข้อมูลให้แน่น และทำความเข้าใจก่อนให้ลึกซึ้ง

2. ทักษะ (Skills)

เมื่อคุณมีความรู้และความเข้าใจในเครื่องมือที่คุณต้องใช้เป็นอย่างดีแล้ว สิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ ทักษะในการใช้งานเครื่องมือเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถ้าคุณมีความรู้อย่างเดียว คุณก็จะไม่ต่างกับคนแน่นทฤษฎีที่ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ หรือถ้าคุณบอกว่าคุณทำมาเยอะ แต่ไม่มีความรู้ คุณอาจจะต้องกลับมาพิจารณาตัวเองว่าที่ผ่านมาคุณกำลังถ่ายทอดอะไรให้คนอื่นอยู่ ดังนั้น ความรู้และทักษะ เป็นสิ่งที่ควรจะต้องมีควบคู่กันไป

             “แต่ความรู้สำคัญกว่านะ รู้เยอะๆถึงเวลาก็น่าจะต้องทำได้สิ” ถ้าคุณยังมีความเชื่อแบบนี้อยู่ ลองคิดตามว่า คุณอยากจะดำน้ำเป็น คุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับการดำน้ำมาไม่ต่ำกว่า 20 เล่ม คุณดู Youtube ที่ให้ข้อมุลเกี่ยวกับทักษะการดำน้ำมามากกว่า 100 คลิป และคุณเรียนดำน้ำในคลาส Online มาไม่ต่ำกว่า 10 คลาส รวมเวลาเรียนเป็น 1,000 ชั่วโมง แต่คุณไม่เคยสัมผัสน้ำเลย คุณคิดว่าคุณจะสอบ Diving License ผ่านไหม?

             “พวกรู้เยอะอย่างเดียวมันก็ได้แค่พูด ผมนี่ไม่ได้เรียนอะไรมาเลย แต่ทำมานับไม่ถ้วนแล้ว” ถ้าเสียงนี้มันยังดังในหัวคุณอยู่ ลองคิดตามง่ายๆว่า ถ้าคุณเป็นพี่เลี้ยงเด็ก คุณรู้ว่าเด็กต้องดื่มนม แต่คุณไม่สามารถบอกได้ว่านมแต่ละประเภทมีผลกับเด็กอย่างไร ดีอย่างไร อย่างเลวร้ายคือบางคนดูไม่ออกด้วยซ้ำ ว่านมที่ให้เด็กดื่มบูดหรือไม่บูด คุณก็จะไม่สามารถตอบให้พ่อกับแม่ที่ตั้งใจฝากให้คุณดูแลลูกของเข้าเกิดความไว้วางใจได้เหมือนกัน

             ดังนั้นได้คุณไม่อยากจะเป็นม้าสะดุดหญ้า มีความรู้แน่นแต่ถึงเวลาใช้งานไม่ได้ หรือไม่อยากจะเป็นนมบูดให้เด็ก คุณจำเป็นจะต้องหาความรู้ และพัฒนาทักษะไปควบคู่กัน

 

คุณจะพัฒนาทักษะได้อย่างไร ?

             ทักษะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ และวิธีแรกที่น่าจะวิ่งเข้ามาในหัวของคุณคือ “ลองผิดลองถูกเอง” ซึ่งข้อดีของวิธีนี้คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย ที่จะต้องจ่ายให้คลาสเรียน คุณจัดเวลาให้ตัวเองได้ ถึงแม้ว่าคุณอาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะมากกว่าก็ตาม และสิ่งที่อยากชมสำหรับผู้ที่เลือกวิธีนี้คือ คุณมีความกล้า กล้าที่จะผิดพลาด กล้าที่จะเริ่ม และกล้าที่จะเข้าไปเจอกับปัญหา แต่ข้อเสียก็คือ คุณจะต้องใช้เวลามากกว่าที่คุณคิด ในการพัฒนาทักษะเหล่านี้ และคุณจะไม่สามารถเห็นจุดบอด (Blind spot) ของตัวเองได้ ดังนั้นวิธีที่อยากจะแนะนำคือ

             การเข้าคลาสอบรมที่มี Workshop หรือ แบบฝึกหัดให้คุณทำ คลาสอบรมที่มีคุณภาพ จะอธิบายข้อมูลที่คุณจำเป็นต้องรู้ พร้อมกับอธิบายเหตุผลและความหมายของเครื่องมือต่างๆอย่างครบถ้วน มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจน มีแบบฝึกหัดและกิจกรรมให้คุณทำ เพื่อจะได้เข้าใจถึงพลังของเครื่องมือเป็นต่างๆอย่างเป็นลำดับขั้นตอน และที่สำคัญ มีการ Coach เกิดขึ้นจริงในการอบรม และมี Mentor คอยชี้จุดที่คุณสามารถพัฒนาและแก้ไขเพิ่มขึ้นมาได้ในทันที

 

ต้องทำมากขนาดไหน? ความรู้ที่มีถึงจะพัฒนาเป็นทักษะที่ดีได้

ลำดับแรกที่จะทำให้คุณมั่นใจในทักษะการโค้ชของตัวเอง คือคุณควรจะต้องผ่านการโค้ชมาอย่างน้อย 10 Session ใน 10 Session นี้หากคุณตั้งสังเกตตัวเองดีๆ คุณจะรับรู้ Pattern การโค้ชของตัวเองได้ว่า อะไรควรจะระวังมากขึ้น อะไรควรจะให้ความสำคัญเพิ่ม หรืออะไรที่ห้ามทำอีก

หากคุณต้องการประกอบอาชีพโค้ช เบื้องต้นคุณควรจะต้องมีประสบการณ์ในการโค้ชอย่างน้อย 120 Session หลังจากที่คุณเรียนรู้ตัวเองแล้ว การผ่าน Coachee มาหลายรูปแบบ เจอหลายเป้าหมาย เห็นปัญหาของแต่ละคนที่ต่างกัน และเห็นวิธีคิดเฉพาะตัวเพื่อแก้ปัญหาของคนแต่ละคน

สุดท้าย ถ้าคุณอยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นโค้ชมืออาชีพได้อย่างเต็มตัว ชั่วโมงบินของโค้ชของคุณต้องไม่ต่ำกว่า 5,000 Session ซึ่งตัวเลขนี้ ถ้าลองคิดเล่นๆดูว่าต้องใช้เวลานานขนาดไหน คุณต้องโค้ชเฉลี่ยวันละ 4 คน ไปตลอด 3 ปีครึ่ง นี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่แค่คุณเจอ Coachee มาหลายคน แต่เพราะคุณได้อยู่ในช่วงเวลาทุกช่วงของ Coachee จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ตอนที่เจอปัญหา วิธีที่แต่ละคนสู้กับปัญหาเหล่านี้ หรือคุณอาจจะเห็น Coachee ที่สำเร็จกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนแรก แล้วพุ่งไปหาเป้าหมายต่อไปที่ใหญ่กว่าเดิม

3. ประสบการณ์ (Experience)

 เมื่อคุณมีความรู้แน่น ถูกต้อง และครบถ้วน มีทักษะที่ผ่านการฝึกมาอย่างเข้มข้น สิ่งสุดท้ายที่คุณจะต้องเก็บเกี่ยวด้วยตัวเอง โดยที่ไม่สามารถไปเรียนที่ไหนจากใครได้ คือ ประสบการณ์

ประสบการณ์จะทำให้คุณแตกต่างจากผู้อื่น ประสบการณ์ จะทำให้คุณโดดเด่นในแบบของคุณเอง ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬากอล์ฟมืออาชีพ ช่วงเริ่มต้น ต้องรู้ทฤษฎีการตีให้ถูก วงสวิงที่ดี ที่สวยเป็นอย่างไร และเขาจะต้องพัฒนาสมรรถภาพร่างกายของตัวเองด้านใดบ้าง เพราะถ้าไม่รู้ก็จะไม่สามารถพัฒนาอย่างถูกต้องได้ ไม่รู้ว่าต้องออกกำลังกายอย่างไรให้ตีได้ดีขึ้น หรือบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปัญหาของตัวเองอยู่ตรงไหน เมื่อมีความรู้ ก็ต้องพัฒนาทักษะ วงสวิงแบบเดิมที่เห็นกันใช้กันในทุกๆ Shot ก็ต้องฝึกให้สามารถทำได้อย่างเชี่ยวชาญ เพราะถ้าไม่ฝึกฝน วงสวิงที่ออกมาก็จะไม่เหมือนเดิม เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดี แรงที่ใช้ก็ไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ ทิศทางลองลูกก็ไม่สามารถควบคุมได้ ออกซ้ายออกขวาไม่ได้ดั่งใจ เมื่อมีสองอย่างนี้ คุณพูดได้เต็มปากว่าคุณตีกอล์ฟได้ แต่สิ่งที่ทำให้นักกอล์ฟมืออาชีพ แตกต่างจากคนที่”ตีกอล์ฟได้” คือประสบการณ์ วงสวิงแบบเดิม ที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่าจุดยืนจะไม่ใช่จุดยืนที่ดีก็ตาม การอ่านทิศทางลมที่เปลี่ยนไปทุกนาที หรืออาจจะทุกวินาที สภาพอากาศที่มีผลแม้กระทั่งการออกรอบในสนามเดิมๆ การรับมือกับพื้นผิวที่ต่างกันในแต่ละจุดของสนาม การอ่านไลน์บนกรีนที่ต่างกันออกไปในแต่ละสนาม หรือแม้กระทั่งเป็นสนามเดิมที่ตำแหน่งหลุมเปลี่ยนไป พัฒนาการวางแผนในแต่ละรอบให้ดีขึ้นกว่าเดิม

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ความรู้กับทักษะ จะทำให้คุณสามารถตีกอล์ฟเป็น แต่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญ ในด้านการโค้ชก็เช่นกัน คุณมีความรู้ คุณมีทักษะในการใช้ การหาประสบการณ์จะทำให้คุณเห็นว่าโลกมันกว้างใหญ่กว่าที่คุณคิดหลายเท่า ถ้าคุณอยากเคลื่อนที่ไปข้างหน้า คุณอาจจะเริ่มหัดเดินอยู่ในบ้าน หัดวิ่งบ้าง เรียนขับรถบ้าง แต่ทางข้างหน้าอาจจะไม่ได้มีแค่ถนนเหมือนอย่างที่คุณคิด ถ้าเส้นทางของคุณมันไม่ได้มีพื้นถนน แต่เป็นพื้นทะเล คุณจะทำอย่างไร การโค้ชก็เช่นกัน ความแตกต่างของผู้คนไม่ได้เล็กน้อยเหมือนถนนกับทะเล “คนเหมือนกันแต่เป็นคนไม่เหมือนกัน” ประชากรบนโลกมาเยอะแยะมากมาย และคุณไม่สามารถคาดหวังได้ว้า Coachee ทุกคนจะต้องเป็น Coachee ที่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เหมือนที่ฉันเคยเจอมา บางคนอาจจะมีความเชื่อบางอย่างที่ผูกตัวเองเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ บางคนอาจจะไม่สามารถหาคำตอบจากตัวเองด้วยคำถามที่คุณเคยใช้ได้ ฯลฯ ปัญหาที่คุณเจอ จะทำให้คุณมองเห็นเส้นทางใหม่ๆที่คุณจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติม และฝึกฝน ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จบ

 

ดังนั้นในการจะเป็นโค้ชมืออาขีพ การหาความรู้ที่ถูกต้อง จะทำให้คุณวางตัวเองได้อย่างเหมาะสม เห็นในหน้าที่ของตัวเอง และมีความเข้าใจในเครื่องมือที่คุณกำลังจะใช้กับผู้อื่น การฝึกฝนทักษะอย่างเข้มข้น จะทำให้คุณเห็นการทำงานของเครื่องมือต่างๆ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น และปรับปรุงแก้ไข สุดท้าย ประสบการณ์จะทำให้คุณเลือกใช้เครื่องมือแต่ละประเภทได้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น และประสบการณ์จะทำให้คุณเห็นมุมมองใหม่ๆ เส้นทางใหม่ๆ หรือเครื่องมือใหม่ๆที่จะเปิดโอกาสให้คุณได้หาความรู้ และฝึกฝนทักษะเพิ่มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เส้นทางในการเป็นโค้ชมืออาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ได้ใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายๆคนคิด และถ้าคุณมี Passion และมีความตั้งใจกับมัน เวลาที่ดูเหมือนนานอาจจะผ่านไปเร็วกว่าที่คุณคิด ดังนั้นในเมื่อคุณเลือกเส้นทางนี้ ไม่ว่าคุณจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม ขอให้คุณภูมิใจในตัวเองได้เลยว่า คุณก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ ตั้งใจและมุ่งมั่น เพื่อจะส่งเสริมการพัฒนาตัวเอง เพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม เพื่อประเทศ และเพื่อให้โลกของเราพัฒนาและน่าอยู่มากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line : @LifeEnricher

Facebook: TheLifeEnricher

โทร: 02-017-2758, 094-686-6599

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า