Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

... 5 วิธี ประสบ ความ สำเร็จ แบบง่าย ๆ ...

           ทุกคนล้วนแต่มีความฝันที่อยากจะ “ ประสบ ความ สำเร็จ “ ในบางสิ่งบางอย่างของชีวิต บางคนอยากจะได้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้น บางคนอยากจะมีหน้ามีตาในหน้าที่การงาน บางคนอยากจะเพิ่มคุณภาพให้ขีวิตของตัวเอง บางคนอยากจะช่วยเหลือคนอื่น ฯลฯ ซึ่งความสำเร็จของทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จอะไรก็ตาม นั่นมาพร้อมกับความท้าทายเสมอ ทุกคนคงจะเข้าใจกันดีว่าบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนง่าย ที่คนสำเร็จเข้าทำกันเหมือนแค่ดีดนิ้วผลลัพธ์ก็อยู่ตรงหน้าเหมือนมีเวทย์มนตร์ จริง ๆ แล้วมันมีเบื้องหลังที่ผ่านการต่อสู้มามากมาย มีการลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน มีความล้มเหลวมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหนื่อยจนถึงขนาดที่ว่าไม่เคยคิดว่าจะต้องเหนื่อยขนาดนี้ในวันนี้ วันพรุ่งนี้กลับเหนื่อยกว่าเดิมอีก

             ความเข้าใจนี้ทำให้หลาย ๆ คนที่กระหายความสำเร็จพยายามหาวิธีทางที่จะเพิ่ม Productivity ในแต่ละวันให้มากขึ้น ทำอย่างไรก็ได้ให้แต่ละวันเกิดผลลัพธ์สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลักตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุก ๆ วินาที ซึ่งแน่นอนว่าวิธีนี้จะต้องมีคนสำเร็จบางคนที่ได้ผลลัพธ์ด้วยการดันตัวเองให้ไปสุดตลอดเวลาแบบนี้ บางคนบอกว่า Work life balance เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะในขณะที่คุณกำลังมองหาจุดสมดุลย์นั้นอยู่ เขาทำมากกว่า ในขณะที่คุณกำลังพักอยู่ เขาสู้ต่อ วันนึงคุณหาเวลาให้ตัวเองได้ 2 ชม. แต่เขาเอา 2 ชม. นั้นไปทำงานต่อ หนึ่งปีเขาได้เปรียบคุณอยู่ 730 ชม. และนี่ไม่รวมเวลาที่คุณหยุดเสาร์อาทิตย์ คุณพักร้อน คุณไปปาร์ตี้ อีกด้วย แต่ในขณะที่บางคนก็กำลังพยายามจะสร้างผลลัพธ์โดยที่กำลังหา Balance ของตัวเอง พยายามจัดสรรเวลาให้ตัวเองได้ทำงานและได้ใช้ชีวิตในเวลาเดียวกัน

             เราจะไม่ตัดสินกันว่าวิธีไหนถูก วิธีไหนผิด อะไรดีกว่าอะไรด้อยกว่า ถ้าคุณพบว่าเครื่องของคุณมันวิ่งได้เรื่อย ๆ เหมือนคนที่ทำงานได้โดยที่ไม่ต้องการวันหยุด ยินดีด้วย คุณได้เจอหาทางในการสร้างผลลัพธ์ให้กับตัวเองแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าคุณเป็นคนที่รู้สึกว่า คุณต้องการความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการสร้างผลลัพธ์ให้ความสำเร็จของตัวเอง คุณอาจจะต้องระวังการผลักดันตัวเองมากเกินไป วิธีง่าย ๆ ก็คือถ้าคุณแค่คิดว่าจะต้องทำงาน 18 ชั่วโมงต่อวันทุกวันแบบไม่มีวันหยุดไปอีก 10 ปีแล้วคุณรู้สึกเหนื่อย คุณอาจจะไม่ได้เหมาะกับการเดินเครื่องเต็มกำลังตลอดเวลาแบบนั้น และคุณจะต้องระวังการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่า ในขณะที่คนอื่นกำลังทำ แต่คุณหยุด คุณไม่มีพลัง ระวังข้อนี้ให้ดีเพราะนั่นคือ Toxic productivity นั่นคือการกระตุ้นที่เป็นพิษกับตัวคุณเอง เพราะคุณจะคอยตำหนิตัวเองในวันที่สร้างผลลัพธ์ไม่ได้ คุณตำหนิตัวเองในวันที่คุณติดปัญหาแต่คนอื่นเดินหน้าต่อ

             เพราะวิธีการทำงานแบบเดินเครื่องเต็มกำลัง ไม่ใช่วิธีเดียวที่คุณจะประสบความสำเร็จได้ ทุกเป้าหมายมีมากกว่าหนึ่งเส้นทางที่มาบรรจบที่ผลลัพธ์เดียวกัน ดังนั้นต่อให้คุณไม่ใช่คนที่ทำงานต่อเนื่องกันแบบไม่เหน็ดไม่เหนื่อย คุณก็ยังสามาถที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลงมือทำงานน้อยลง เพิ่ม Productivity มากขึ้น และที่สำคัญก็คือ “ ง่าย “ ขึ้นกว่าเดิม

             ก่อนอื่นเลยต้องพูดถึงกันสักเล็กน้อยกับหนังสือที่ชื่อว่า “ Effortless “ ของนักเขียนที่ชื่อว่า Greg Mckweon ที่พูดถึงการทำงานในแต่ละวันให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น สร้างผลลัพธ์ได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องลงมือเยอะอย่างที่คิด ซึ่งหลังจากที่ได้ผ่านหนังสือเล่มนี้มาแล้วทำให้สรุปใจความของเทคนิคในแต่ละข้อมาได้ดังนี้

 1. Done! 

             Done ที่ไม่ได้แปลว่าทำสำเร็จแล้ว แต่เป็นการใกล้จะ “ ประสบ ความ สำเร็จ “ ด้วยจินตนาการ หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่าความสำเร็จมโนลักษณะนี้จะมีผลได้อย่างไรกัน ?

             อธิบายแบบที่เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ คุณจะต้องเห็นภาพก่อนว่าความสำเร็จของคุณจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ที่คุณจะได้รูปร่างเป็นอย่างไร ความสำเร็จนั้นจะให้อะไรกับคุณ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณอยากจะทำอาหารขึ้นมาสักจานหนึ่ง คุณจะเห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างการอ่านสูตรอาหารที่มีภาพประกอบว่าเมนูนี้ออกมาจะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ กับการอ่านสูตรที่มีแต่ตัวอักษรอย่างเดียว คุณจะรู้สึกว่าเวลาที่คุณเห็น Final product แล้วมันดูจะเป็นไปได้มากกว่าเวลาที่คุณไม่เห็น หรือเวลาคุณจะพับกระดาษคุณก็จะมองหารูปสำเร็จก่อนว่าพับออกมาแล้วจะหน้าตาเป็นอย่างไร

             แน่นอนว่าไม่เห็นภาพก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่ประเด็นของเทคนิคเหล่านี้คือการทำให้ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้ “ ง่าย “ กว่าเดิม ดังนั้นการจินตนาการความสำเร็จของคุณจะทำให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จนั้นได้ง่ายกว่าเดิม คุณลองสังเกตตัวเองในเวลาที่คุณมีไอเดียอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมา คุณเห็นภาพอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาแล้วมันชัดเจนมาก ๆ มากเสียจนคุณรู้สึกว่าคุณอยากจะกระโดดออกไปลงมือทำอะไรบางอย่างในตอนนั้นเลย คุณรู้สึกเนื้อเต้นวูบวาบไปหมด นั่นแหละพลังของจินตภาพความสำเร็จที่มีผลกับร่างกายของคุณ ฉะนั้นจงมองให้เห็นเสียว่าคุณต้องการอะไร ถ้าคุณอยากออกกำลังกายให้สำเร็จ จงมองให้เห็นตัวเองในร่างที่ต้องการ ถ้าคุณอยากจะสร้างรายได้ให้ตัวเองได้มาก ๆ ก็จงมองให้เห็นตัวเองในตอนที่สามารถใช้จ่ายกับเรื่องที่อยากจะจ่ายได้อย่างมีความสุข เป็นต้น

2. Delete เพื่อ ประสบ ความ สำเร็จ

             หลังจากที่คุณเห็นแล้วว่าภาพของคุณจะเป็นอย่างไร ขั้นตอนต่อไปก็คือการ “ ลบ “ ขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป เพราะเวลาที่คุณมีพลังอยากจะทำอะไรสักอย่าง คุณจะเห็นวิธีการเป็นฉาก ๆ ว่าคุณจะเริ่มตรงไหน ไปต่ออย่างไร ฯลฯ แต่สิ่งที่คุณจะต้องเบรคตัวเองแล้วหันมาจัดการวางแผนก่อนก็คือ คุณจะต้องมาจัดการ ลบ และ ลด ขั้นตอนในการทำงานให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อกรองกิจกรรมที่ “ จำเป็น “ จริง ๆ เท่านั้น

             เพราะบางครั้ง กิจกรรมหรือการกระทำบางอย่างถึงแม้ว่าจะมีผลทำให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ก็อาจจะไม่ได้มีประโยชน์อย่างที่คุณคิด เปรียบเทียบแบบง่าย ๆ ก็คือคุณมีสินค้าสองตัว สินค้า A ต้นทุนต่ำทั้งค่าใช้จ่ายและแรงงาน แถมขายได้สูง สินค้า A ก็จะเป็นสินค้าที่คุณคัดไว้ว่า “ จำเป็น “ ต้องมี ส่วนสินค้า B ต้นทุนสูงทั้งค่าใช้จ่ายและแรงงาน แต่กลับขายได้กำไรน้อยมาก สินค้า B ก็จะเป็นสินค้าที่คุณสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บไว้ หรือหยุดผลิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าสินค้าสองชิ้นทั้ง A และ B สร้างกำไรให้คุณได้เหมือนกัน แต่คุณสามารถเลือกที่จะหยุดการผลิตสินค้า B เพื่อเอาทรัพยากรของคุณมาพัฒนาสินค้าชิ้นใหม่ที่สร้างผลลัพธ์ได้ดีกว่าเดิมก็ได้

             นั่นทำให้คุณจำเป็นจะต้องมานั่งไล่ขั้นตอนของสิ่งที่คุณกำลังจะลงมือทำทีละข้อ และค่อย ๆ วิเคราะห์ดูว่าอะไรที่คุณมองว่าจำเป็น หรือว่าไม่จำเป็นซึ่งขั้นตอนนี้คุณควรจะทำเป็นระยะ ๆ ไม่ใช่แค่ตอนเริ่มต้นอย่างเดียว เพราะบางครั้งคุณก็อาจจะยังมองไม่ออกในช่วงแรกว่าอะไรที่ลงมือทำแล้วได้ผลลัพธ์มากกว่า เหมือนกันสินค้า A และ B ที่ถ้าไม่ลองมาขายก็ไม่มีทางรู้ว่าแต่ละตัวจะได้กำไรเท่าไหร่นั่นแหละ

             ซึ่งการลดในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแต่นั่งชีดทิ้งอย่างเดียว ถ้าคุณวิเคราะห์การทำงานของตัวเองดี ๆ คุณอาจจะมองเห็นหัวข้อบางหัวข้อที่คุณสามารถเอามาทำพร้อมกันได้ การรวมขั้นตอนการทำงานสองขั้นตอนขึ้นไปให้มาอยู่ในขั้นตอนเดียวก็ถือว่าเป็นการลดขั้นตอนการทำงานเหมือนกัน

 3. Obvious

             เมื่อคุณได้แผนของตัวเองแล้ว สิ่งต่อไปที่ท้าทายที่สุดก็คือการเริ่มทำ บางครั้งคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี เพราะคุณเพิ่งจะผ่านการวางแผนอย่างเข้มข้นมา คุณลิสต์วิธีทั้งหมด อันไหนตัดได้ตัด อันไหนรวมได้รวม จนเหลือแต่วิธีที่คุณคัดมาอย่างดีแล้วว่า “ คุณภาพ “ อย่างแน่นอน แต่ความคุณภาพทั้งหมดนั้นบางครั้งอาจจะทำให้คุณตัดสินใจลำบากว่าแล้วนี่จะเริ่มหยิบอะไรมาทำก่อนดี ซึ่งการลังเลลักษณะนี้ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้คุณเหนื่อยกับการเลือก และใช้เวลากับการคิดมากเกินไปโดยใช่เหตุก็ได้

             ดังนั้นเทคนิคต่อไปก็คือ หยุดคิด แล้วก็แค่เลือกสิ่งที่มันวิ่งเข้ามาในหัวคุณอย่างแรก อะไรที่มัน obvious หรือแน่นอนอยู่แล้วว่า ถ้าผลลัพธ์นี้ก็ต้อง Action นี้แหละต้องเจอกันมันแน่ ๆ เอากิจกรรมอันนั้นแหละขึ้นมาทำก่อนเป็นอย่างแรก เพราะความยากที่สุดของการสร้างความสำเร็จ คือการเริ่มขยับจาก 0 มาเป็น 1 นี่แหละ เหมือนกับเวลาที่คุณต้องไปเข็นรถที่ตอนแรกคุณจะต้องออกแรงเยอะมากเพื่อขยับรถที่จอดนิ่งให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้ และพอมันเริ่มเคลื่อนแล้วทุกอย่างก็จะเริ่มง่ายขึ้นเรื่อย ๆ การเริ่มลงมือทำก็เหมือนกัน สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเริ่มทำนี่แหละ เพราะงั้นเราก็เอาเรื่องที่เราเลี่ยงไมได้มาลุยกับมาก่อนเสียเลย เพราะเมื่อคุณเริ่มลงมือทำ นั่นคือคุณกำลังสร้าง Momentum ให้ตัวเอง และเมื่อคุณ”ด้ momentum นี่แล้ว กับนับ 2 นับ 3 ไปเรื่อย ๆ ก็จะง่ายขึ้นเหมือนกับเวลาที่คุณเข็นรถนั่นแหละ

4. Gradual

             พลังของความต่อเนื่อง มีผลกับการสร้างความสำเร็จที่รวดเร็วและง่ายขึ้น ในหนังสือ Effortless พูดถึงการเดินทางของเรือสองลำ เรือลำแรก กำหนดเวลาชัดเจน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฟ้าจะร้องฝนจะตกแดดจะออก จะยังไงก็แล้วแต่ก็จะล่องเรือไปเท่านี้ชั่วโมง และจะอยู่พักเท่านี้ชั่วโมง เรือลำที่สองใช้กลยุทธ์ ถ้าฟ้าเปิดก็จะล่องไม่หยุด จะหยุดต่อเมื่อฟ้าปิด ผลที่ออกมาก็คือ เรือลำแรกที่กำหนดชัดเจนว่าเราจะล่องเรือเท่านี้ชั่งโมง หยุดพักเท่านี้ชั่วโมงถึงเส้นชัยไวกว่า เพราะว่าเรือลำนี้มีการกำหนดเวลาเดินทางที่ชัดเจนมากกว่า และลูกเรือที่ทำงานก็มีความสุขมากกว่าด้วย ถึงแม้ว่าบางวันจะเหนื่อยหน่อยที่ต้องเดินเรือในสภาพอากาศที่อาจจะไม่ได้เป็นใจสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาจะรู้ว่าเขาจะได้พักตอนได้ และเขาจะต้องทำงานไปอีกกี่ชั่วโมง ส่วนเรือลำที่บอกว่าจะล่องไปเรื่อย ๆ ในตอนที่ฟ้าเปิด และหยุดทันทีเมื่อฟ้าปิด กลับถึงจุดหมายช้ากว่า และลูกเรือก็ล้ากว่าด้วย เพราะในตอนที่ฟ้าเปิดก็ทำงานกันแบบไม่หยุดหย่อน และไม่รู้ด้วยว่าจะได้พักเมื่อไหร่ ส่วนบางทีที่ฟ้าปิดอยู่นานก็ไม่ได้ทำอะไรจนตอนที่จะเริ่มใหม่ก็ต้องมาบืนตัวเองกันอีกรอบ

             ดังนั้นการวางแผนทำไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ เดินทีละก้าว ก็เหมือนกับนักวิ่งที่ต้องควบคุม pacing หรือความเร็วในการวิ่งของตัวเองให้อยู่ในระดับที่สามารถทำไปได้เรื่อย ๆ จะได้ผลลัพธ์และปริมาณระยะทางที่มากกว่าคนที่สับขาแตกตั้งแต่แรกแล้วเหนื่อยตายตอนหลังนั่นเอง

5.Grateful

             แน่นอนว่าการเดินทางของทุกเส้นทางก็คงจะไม่ได้มีกลีบกุหลาบโรยตลอดเวลา เพราะถ้าเราอยากจะได้กุหลาบก็คงจะต้องผ่านหนามอะไรกันบ้าง วิธีที่จะทำให้คุณจัดการกับอุปสรรคได้ง่ายกว่าเดิมก็คือการ “ ขอบคุณ “ กับทุกสิ่งที่คุณเจอ เพราะการขอบคุณจะเกิดขึ้นเมื่อคุณหาประโยชน์จากสิ่งนั้นได้ ดังนั้นถ้าคุณขอบคุณปัญหา ขอบคุณอึปสรรค นั่นหมายความว่าคุณสามารถหาประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้ Appreciate the good and the bad ดังนั้นถ้าคุณสามารถขอบคุณทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี นั่นหมายความว่า ไม่ว่าเรื่องแบบไหนจะถาโถมเข้ามาในชีวิตคุณ คุณก็จะกลายเป็นคนที่สามารถหาประโยชน์และข้อดีกับทุก ๆ ประสบการณ์ในชีวิตได้อย่างแท้จริง

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line : @LifeEnricher

Facebook: TheLifeEnricher

โทร: 02-017-2758, 094-686-6599

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า