
5 สิ่งที่ต้องรู้ หากอยากมี Coach เป็นของตัวเอง
“ความสำเร็จ” น่าจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนกำลังพยายามใช้ชีวิตวิ่งไล่ตามอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน เราเห็นคนสำเร็จ เรามีเป้าหมาย เราให้คุณค่ากับความสำเร็จนั้น แน่นอนว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ง่ายและเต็มไปด้วยความท้าทาย เมื่อเราเจอความท้าทาย เรามีสองทางเลือกคือหนีมัน หรือก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งถ้าหากความสำเร็จนั้สำคัญกับคุณมากพอ คุณจะเลือกพพุ่งชนมันแน่นอน และคนที่จะช่วยให้คุณก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองแบบก้าวกระโดดได้แบบที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงมาก่อนเลยคือ “โค้ช”
เชื่อว่าหลายท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ น่าจะรู้ถึงความสำคัญและประโยชน์ของโค้ช และทักษะการโค้ชกันดีอยู่แล้ว หลายท่านถูกแนะนำมา หลายท่านเคยได้ยินคนที่ประสบความสำเร็จกล่าวถึงความสำคัญของโค้ชส่วนตัวของเขา ถ้าคุณอยากมีโค้ช คำถามที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ “จะเลือกโค้ชอย่างไร?” เพราะโค้ชมีหลายรูปแบบ มีความสามารถเฉพาะทางที่แตกต่างกัน บทความนี้จะกล่าวถึง 5 สิ่งที่ควรคำนึงถึง เมื่อคุณต้องการจะเลือกโค้ชส่วนตัว ที่สามารถช่วยให้คุณก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และพุ่งไปยังเป้าหมายของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ

1.ชัดเจนในผลลัพธ์ / เป้าหมายของตัวเอง
ทุกคนมีเป้าหมาย ทุกคนมีผลลัพธ์บางอย่างที่ตนเองต้องการ เช่น “อยากรวยจัง” “อยากหุ่นดี” “อยากมีความสุขกับชีวิตคู่” ฯลฯ แน่นอนว่าความสำเร็จของแต่ละคนอาจจะเหมือนกัน หรือต่างกันก็ได้ ซึ่งไม่ว่าความสำเร็จ หรือเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ ตามสิ่งสำคัญที่ต้องมีหากคุณต้องการจะมีโค้ชก็คือ “ความชัดเจน”
ถึงตรงนี้อาจจะเกิดคำถามขึ้นกับหลายๆคนว่า “ความต้องการที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ยังไม่ชัดเจนหรือ? ในเมื่อบอกว่าอยากรวย ก็น่าจะชัดอยู่แล้วว่าอยากมีรายได้เพิ่ม” คำตอบก็คือ ใช่ นั่นยังไม่ชัดเจนมากพอ ถ้าคุณอยากจะลองทดสอบตัวเองว่าเป้าหมายนั้นชัดเจนมากพอ นี่คือคำถามที่คุณควรจะตอบตัวเองได้
1.1 เป้าหมายนั้นสำคัญอย่างไร
คำถามแรกนี้จะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดกับตัวคุณเองได้ดีที่สุดว่า นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆไหม หลายคนไม่เคยถามตัวเองว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ มันสำคัญกับคุณอย่างไร สภาพคล่องทางการเงินสำคัญกับคุณอย่างไร? สุขภาพที่ดีสำคัญกับคุณอย่างไร? ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรักสำคัญกับคุณอย่างไร? ฯลฯ อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินว่า “นี่คือสิ่งสำคัญ”
ถ้าหากคุณตอบคำถามนี้ได้ คุณจะได้รับแหล่งพลังงานที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมี เพราะบ่อยครั้งเรามักจะทำอะไรหลายๆอย่างโดยที่ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญอย่างไร มันมีผลกับชีวิตเราอย่างไร เราคิดแค่ว่า “ต้องทำ” ยิ่งถ้าคุณอยากจะได้โค้ชมาช่วย ความชัดเจนแรกที่คุณต้องหาให้เจอก็คือ “เป้าหมายนั้นความสำคัญอย่างไร?”
1.2 จะต้องเกิดผลลัพธ์แบบไหน คุณถึงจะเรียกว่านั่นคือการประสบความสำเร็จ
เมื่อคุณตอบได้แล้วว่าเป้าหมายนั้นสำคัญกับคุณอย่างไร คำถามนี้จะเป็นคำถามที่ทำให้คุณไม่ติดกับดัก “ทำแบบไม่รู้จบ” เพราะถ้าคุณคิดแค่ว่า “อยากรวย” คุณจะก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนคุณเป็นนักวิ่งที่ไม่รู้ว่าเส้นชัยของคุณคืออะไร และนั่นจะทำให้คุณไม่มีความสุขในชีวิต หรือทำให้คุณไม่พอใจกับความสำเร็จที่คุณทำได้สักที เพราะถ้าคุณบอกว่าอยากรวย คุณก็จะมองแต่คนที่รวยกว่าคุณ มีฐานะดีกว่าคุณ โดยที่บ่อยครั้งคุณมักจะลืมไปว่า คุณมาไกลแค่ไหนแล้ว ดังนั้นการตั้งผลลัพธ์ที่คุณต้องการให้ชัดเจน ก็เหมือนกับการตั้งเส้นชัยให้กับตัวคุณเอง ถ้าคุณบอกว่าอยากรวย อะไรที่จะทำให้คุณตัดสินได้ว่า “คุณรวยแล้ว” รายได้ต่อเดือนกี่หลัก? เงินเก็บในบัญชีต้องมีเท่าไหร่? ทรัพย์สินของคุณต้องมีมากแค่ไหน?
นอกจากจะทำให้คุณชัดเจนกับเป้าหมายมากขึ้นแล้ว ยังทำให้คุณรู้สึกขอบคุณ และภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ด้วย แน่นอนว่าเป้าหมายนั้นอาจจะขยับขึ้นมาเรื่อยๆ ผลลัพธ์แรกคุณอาจจะอยากให้ธุรกิจของคุณมีกำไรหลักแสนต่อเดือน เมื่อคุณบรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว ผลลัพธ์ต่อไปคุณอาจจะอยากให้กำไรเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านต่อเดือน และอาจจะพัฒนาต่อไปเป็นสิบล้าน หรือร้อยล้านก็ตามแต่ การตั้งผลลัพธ์ให้ชัดเจนจะทำให้คุณหันกลับมามองการเติบโตของตัวคุณเองได้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง คุณก้าวข้ามอะไรมาแล้วบ้าง คุณอาจจะกลายเป็นคนที่คุณไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะสามารถเป็นได้ก็ได้
1.3 คุณต้องการผลลัพธ์นั้นมากแค่ไหน
แน่นอนว่าทุกคนมีเป้าหมาย ทุกคนมีความฝัน แต่ความต้องการที่มากพอ จะทำให้แต่ละคนลงมือไม่เหมือนกัน คนสองคนบอกว่าอยากรวยเหมือนกัน คนแรกฐานะปานกลางไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ถ้ามีรายได้มากขึ้นก็คงจะดีไม่น้อย กับคนที่สองฐานะไม่ค่อยดีนัก มีภาระหนี้สินท่วมหัวทำให้ต้องดิ้นรนตลอดเวลา คุณคิดว่าสองคนนี้ใครจะมีแรงขับมากกว่ากัน แน่นอนว่าส่วนมากแล้ว มักจะเป็นคนที่สองเสียมากกว่า ที่พร้อมจะแลกทุกสิ่งเพื่อเป้าหมายนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะต้องการมันแค่ไหน ไม่มีใครตัดสินได้ว่าความต้องการนั้นมากพอ หรือไม่มากพอ แต่การที่คุณชัดเจนกับระดับความต้องการนั้นจะทำให้คุณชัดเจนกับตัวเองได้ว่าคุณจะลงทุนทรัพยากรของตัวเองมากแค่ไหน คุณจะใช้เวลากับมันเท่าไหร่ คุณจะลงแรงแค่ไหน หลายๆครั้งที่ราอาจจะตอบได้ว่าเป้าหมายนั้นสำคัญอย่างไร และต้องการให้เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อมาถึงคำถามว่าคุณต้องการมันมากแค่ไหน ถ้าคำตอบของคุณคือ “ฉันไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น” นั่นอาจจะทำให้คุณชัดเจนพอว่าคุณจะใช้ทรัพยากรกับเป้าหมายนี้แค่ไหน หรือคุณอาจจะกลับมาทบทวนใหม่ก็ได้ว่า มีอย่างอื่นที่คุณต้องการมากกว่านี้ไหม?
1.4 คุณจะตีมูลค่าของเป้าหมายนั้นอย่างไร
การให้มูลค่ากับเป้าหมายของคุณ จะทำให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้นในเรื่องค่าใช้จ่ายในการจ้างโค้ชส่วนตัว จากตัวอย่างข้างต้นคือ ถ้าการจ้างโค้ช 1-2 Session ต่อเดือน สมมติว่ามีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 – 25,000 บาท และผลลัพธ์ที่คุณได้รับคือการสร้างธุรกิจให้มีกำไรหลักแสนต่อเดือน นี่ก็ดูจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกเป้าหมายที่จะมีมูลค่าผลลัพธ์เป็นเงินเสมอไป ถ้าเป้าหมายของคุณคือการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวคุณ กับคนรักคุณ คุณจะให้มูลค่ากับผลลัพธ์นี้เท่าไหร่ ซึ่งแต่ละคนจะให้มูลค่ากับสิ่งเหล่านี้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว บางคนให้หลักพัน บางคนให้หลักหมื่น บางคนบอกว่าเป็นสิบล้านก็ให้ได้ ถ้าคุณตีมูลค่าของผลลัพธ์นั้นได้ คุณจะสบายใจกับการจ้างโค้ชมากขึ้น
เมื่อคุณมีความชัดเจนมากพอ คุณจะมี Filter ในการเลือกโค้ชที่มีความสามารถ หรือความถนัดในเรื่องเฉพาะทางที่ตรงกับเป้าหมายของคุณ ถึงแม้ว่าคนที่เป็นโค้ชจริงๆ จะสามารถโค้ชเรื่องอะไรก็ได้ เพื่อเป้าหมายใดก็ได้ แต่ ถ้าลองคิดดูเล่นๆว่า ในเมื่อคุณต้องการผลลัพธ์ในการเติบโตของธุรกิจ คุณก็คงจะเลือกโค้ชที่มีประสบการณ์เรื่องการพัฒนาองค์กร มากกว่าโค้ชที่ถนัดเรื่องการแก้ปัญหาด้วยความสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นอน เพราะฉะนั้นการเลือกโค้ชที่มีความถนัดเฉพาะทางให้ตรงกับผลลัพธ์ของคุณก็คงจะดีกว่าไม่น้อย

2.ประสบการณ์ของโค้ช
หลังจากที่คุณเห็นกลุ่มโค้ชที่น่าจะเหมาะกับคุณแล้ว เรื่องที่คุณต้องมองต่อมาก็คือเรื่องของ ประสบการณ์ของโค้ชคนนั้นๆ โค้ชคนนั้นเคยทำงานรูปแบบไหนมาบ้าง การทำงานที่ผ่านมาของเขาใกล้เคียงกับผลลัพธ์หรือเป้าหมายที่เราอยากได้มากแค่ไหน โค้ชคนนี้เคยเจอลูกค้า (Coachee) แบบไหนมาบ้าง
ซึ่งวิธีที่เราจะดูได้ง่ายๆก็คือ ข้อมูลต่างๆในสื่อที่โค้ชคนนั้นๆ Public ตัวเองเอาไว้ใน Platform ต่างๆ เช่น
- Podcast
ถ้าหัวข้อที่เป็นเป้าหมายของคุณมีอยู่ในรายการ Podcast ของโค้ชคนที่คุณมองเอาไว้ คุณจะได้รับรู้เบื้องต้นว่า โค้ชเคยพูดถึงเรื่องอะไรไว้บ้าง? โค้ชมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆอย่างไร? นอกจากเนื้อหาใน Podcast แล้วสิ่งที่จะสังเกตได้เด่นๆจาก Podcast คือ วิธีการสื่อสารด้วยเสียงเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีภาษากาย สีหน้า หรือการแสดงออกใดๆ ถ้าคุณรู้สึกถูกชะตากับโค้ชตั้งแต่ได้ยินเขาพูด นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ดี เพราะโค้ชที่ดีควรจะมีทักษะในการสื่อสารที่สูง ดังนั้นการสื่ออารมณ์ สื่อความหมายของสารต่างๆด้วยเสียงเพียงอย่างเดียว และสามารถทำให้ผู้ฟังรับสารนั้นได้ในหลายๆมิติ ก็นับว่าเป็นทักษะในการสื่อสารระดับสูงอย่างหนึ่ง
- Youtube
เรื่องเนื้อหาอาจจะไม่ได้แตกต่างจากหัวข้อ Podcast เท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่มีมิติแตกต่างออกมาจาก Podcast คือ การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง บุคลิกการวางตัวในขณะที่พูด และความสามารถในการนำสื่อและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อนำเสนอสารหรือข้อมูลต่างๆ เพราะอย่างที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อก่อนหน้านี้ โค้ชที่ดี ควรจะมีทักษะการสื่อสารเป็นเลิศ ดังนั้นองค์ประกอบในการสื่อสารส่วนนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่คุณควรจะต้องสังเกต หากคุณจะเลือกโค้ชมาช่วยให้ผลลัพธ์ของคุณเป็นความจริงขึ้นมา
- Live / Live VOD
นี่คือสิ่งที่คุณน่าจะเห็นตัวตนของโค้ชคนหนึ่งได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับสองอนย่างที่ผ่านมา เพราะความแตกต่างที่สุดของ Live Streaming ก็คือ มันไม่มีการเตรียมตัวใดๆ ไม่มีการเขียนบท ไม่มีการขัดกรองว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด การถูกถามสดๆ และตอบสดๆเป็นหนึ่งตัวชี้วัดที่ดีที่สุดว่ามุมมองของโค้ชต่อเหตุการณ์ หรือเรื่องราวแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร รวมไปถึง ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) การจัดการตัวเองเมื่อกำลังสื่อสารกับผู้อื่นให้เหมาะสม แน่นอนว่าใน Live Streaming broadcast ย่อมมาจากการสื่อสารจากผู้ชม ทั้งคนที่ชอบ คนที่ไม่ชอบ คนที่เห็นด้วย และคนที่มีความเห็นแตกต่าง โค้ชจัดการสภาวะอารมณ์ของตัวเองดีแค่ไหน

3.Testimonial & Certification
เมื่อคุณเห็นแล้วว่าตัวตนของโค้ชเป็นอย่างไร มีประสบการณ์อะไรมาบ้าง สิ่งต่อมาที่จะมีผลกับการตัดสินใจของคุณคือ Certificate ว่าโค้ชคนนี้เคยผ่านการอบรมด้านใด จากสถาบันไหนมาบ้าง นี่เป็นหนึ่งใน Credential ที่ทำให้คุณมั่นใจว่าโค้ชคนนี้ถูกฝึกและได้รับการยอมรับขากสถาบันที่เชื่อถือได้ ซึ่งในกรณีที่โค้ชประกาศว่าตนเองเป็นโค้ชเฉพาะทางแล้ว ยิ่งควรจะต้องมีประวัติการเรียนในศาสตร์เฉพาะทางเหล่านี้ด้วย เพื่อที่คุณจะมั่นใจได้ว่าโค้ชคนนี้จะไม่นำความรู้ผิดๆมาใช้กับคุณแน่นอน
นอกจาก Certificate แล้ว การดู Testimonial หรือผลตอบรับของ Coachee ก็เป็นเรื่องสำคัญ สังเกตง่ายๆว่าบัณฑิตจบมาจากมหาลัยฯเดียวกัน คณะและสาขาเดียวกัน ด้วยเกรดไล่เลี่ยกัน ยังมีศักยภาพในการทำงานที่ไม่เหมือนกันเลย โค้ชก็เช่นเดียวกัน การมี Certificate ทำให้คุณมั่นใจว่าโค้ชจะได้ความรู้และทักษะจากสถาบันที่เชื่อถือได้ แต่คุณจะไม่รู้เลยว่าโค้ชคนนี้สามารถนำทักษะและความรู้มาใช้ได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น การดู Testimonial จะทำให้เห็นความพึงพอใจของ Coachee ที่เคยได้รับการโค้ชมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
- โค้ชช่วยแก้ปัญหาไหนให้เขาได้
Coachee เคยเจอปัญหาอะไรที่ทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์ เจออุปสรรค หรือข้อจำกัดอะไรที่ทำให้ไม่พัฒนา แล้วโค้ชมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร และหลังจากที่ก้าวข้ามปัญหามาได้แล้ว เขารู้สึกอย่างไร
- เขาได้ผลลัพธ์อะไร
เขาได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ หรือได้มากกว่าที่คาดหวัง เขาได้มาได้อย่างไร โค้ชมีส่วนอย่างไรกับผลลัพธ์เหล่านั้นบ้าง
- เขาประทับใจอะไรบ้าง
ในบางครั้งการก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง การสร้างผลลัพธ์ที่ตัวเองคาดหวังได้ ระหว่างทางที่กำลังลงมือเพื่อผลลัพธ์นั้นมักจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ หรือเรื่องบางอย่างอาจจะไม่ได้ยากอย่างที่คิด ฯลฯ คุณจะรับรู้ได้ว่านอกจากผลลัพธ์ที่ตั้งไว้แล้ว Coachee แต่ละคนได้อะไรมากกว่านั้นบ้าง
แน่นอนว่า Coachee แต่ละคนย่อมมีสถานะต่างกันทั้ง อายุ วุฒิภาวะ วัยวุฒิ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ประสบการณ์ในอดีตที่ต่างกัน นอกจากจะเห็นว่าโค้ชสามารถทำให้ Coachee เหล่านี้พอใจอย่างไรได้บ้าง สิ่งที่คุณจะเห็นเพิ่มเติมก็คือ โค้ชคนที่คุณมองไว้เคยรับมือกับคนแบบไหนมาบ้าง และโค้ชมีวิธจัดการกับความแตกต่างนี้อย่างไร
4. Chemistry session
ด่านต่อไปที่คุณจะตัดสินว่าคุณจะจ้างโค้ชคนนี้หรือไม่คือ Chemistry session หรือ ช่วงเวลาที่ใช้ทดสอบความเข้ากันของเคมี เพราะสำหรับบางคน ไม่ว่าโค้ชจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกว่า “ไม่ใช่” อาจจะดูเหมือนไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ แต่ ความรู้สึก “ไม่ใช่” เหล่านี้จะทำให้ไม่เกิดความเชื่อใจระหว่าง Coach และ Coachee ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์มากขึ้นก็ได้ เพราะถ้าไม่เกิดความเชื่อใจ การทำงานด้วยกันก็คงจะเป็นเรื่องลำบาก เพราะฉะนั้น ถ้าโค้ชคนที่คุณมองเอาไว้มี Chemistry session ก็ควรจะลองเข้าไปคุยใน Session นั้นๆดู เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าคุณจะสามารถทำงานกับโค้ชคนนี้ได้หรือไม่

5.Insurance & Agreement
ข้อสุดท้ายที่จำเป็นจะต้องมีคือ Agreement หรือ ข้อตกลงที่ชัดเจน ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายว่ามีส่วนใดบ้าง โค้ชต่อ 1 Session คิดเป็นเงินเท่าไหร่ ค่าสถานที่เท่าไหร่ จะใช้เวลาแค่ไหนต่อ Session สิ่งที่โค้ชตกลงจะทำให้คุณ สิ่งที่คุณตกลงจะให้ความร่วมมือกับโค้ชมีอะไรบ้าง ทั้งหมดนี้คือความชัดเจนเพื่อทำงานร่วมกันโดยยุติธรรม และได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย
เมื่อพูดถึงความยุติธรรมแล้ว การมีการันตีความพอใจหลังการขาย ก็เป็นอีกหนึ่งโบนัสที่ดีสำหรับคุณเช่นกัน ถ้าโค้ชมั่นใจในศักยภาพของตัวเขาเอง และตัวคุณ และมีการการันตีหากว่าไม่พอใจยินดีคืนเงินทั้งหมดให้ก็นับเป็นเรื่องที่แฟร์สำหรับคุณเช่นกัน เพราะถ้าจุดประสงค์ของคุณคือการได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และหากคุณปฎิบัติตามข้อตกลง/เงื่อนไขต่างๆที่คุยกันไว้ตั้งแต่แรกทุกอย่างแล้วยังไม่ได้ตามเป้าหมาย การการันตีคืนเงิน หากไม่พอใจก็ดูจะเป็นเรื่องที่แฟร์เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามการการันตีนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่คุณและโค้ชมีตั้งแต่แรก ซึ่งบางคนอาจจะมี หรืออาจจะไม่มี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกกำหนดว่าจะต้องมี แต่ก็เป็นเหมือนคะแนนพิเศษที่ทำให้คุณตัดสินใจเลือกจ้างโค้ชคนนี้ได้มากขึ้นอย่างหนึ่งนั่นเอง
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599