15 tips ทำอย่างไรไม่ให้เหงา เมื่อต้อง Work from home
- กันยายน 28, 2020
- Posted by: Rapeepan Jantaranipa
- Category: Life tips , SelfBreakThrough , StoryTelling , Training ,

15 tips ทำอย่างไรไม่ให้เหงา เมื่อต้อง Work from home
เมื่อโลกที่เราอยู่อาศัยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการปรับตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ หากคุณต้องการจะอยู่รอดบนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลานี้ วิกฤตการณ์ COVID-19 ที่กำลังเกิดขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่บังคับให้เกิดการปรับตัวในหลายๆด้าน การปรับตัวหนึ่งอย่างที่ใครหลายๆคนอาจจะกำลังเจออยู่ก็คือ ระบบการทำงานที่เปลี่ยนไป Social Distancing ทำให้เราต้องเปลี่ยนจากการทำงานที่บริษัท มาเป็นการทำงานที่บ้าน ระบบการทำงานในรูปแบบนี้ ทำให้การรวมกลุ่มซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะนิสัยการอยู่ร่วมกันของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์เราถูกวางกฎเกณฑ์ใหม่ หลายคนปรับตัวได้ หรืออาจจะสบายใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เชื่อว่ายังมีอีกไม่น้อยที่กำลังพยายามจัดการกับความเหงาที่ต้องอยู่ห่างจากผู้อื่น วันนี้มีคำแนะนำ 15 ข้อ ที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อดูแลตัวเองให้ไม่เหงาในช่วงวิกฤตการณ์นี้


1.เล่นเกมกับเพื่อนคุณ
เมื่อพูดว่าเล่นเกม แน่นอนว่าอาจจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่อง Productivity แทรกเข้ามาว่า เล่นเกมกันแล้วจะได้งานหรือ? แล้วเล่นเกมจะช่วยอะไร? คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะส่วนใหญ่ยังเห็นว่า การเล่นเกมเป็นกิจกรรมผ่อนคลายส่วนตัว แต่หากมองอีกมุมหนึ่งการเล่นเกมคือกิจกรรมที่ส่งเสริม Team building อย่างหนึ่ง เพราะเกม Multi-Player หรือเกมที่เล่นพร้อมกันหลายๆคนเกือบทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญและน่าสนใจคือ ผู้เล่นทุกคนร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายอย่างเดียวกัน และเมื่อแต่ละคนมีวิธีการเล่นที่แตกต่างกันออกไปย่อมต้องมีการปรึกษาและวางแผนกัน ไม่เช่นนั้นแล้วการบรรลุเป้าหมายนั้นๆจะเป็นเรื่องยาก ซึ่งเมื่ออธิบายเชิงนี้แล้ว การเล่นเกมไม่ต่างอะไรกับการทำงานร่วมกันเลย พนักงานทุกคนทำงานกันเป็นทีม ปรึกษาและวางแผนเพื่อช่วยกันผลักดันบริษัทไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้
การปรึกษาและวางแผนในลักษณะนี้จะเปิดโอกาสให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม มีโอกาสพูดและแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้อย่างเต็มที่ บ่อยครั้งพนักงานใหม่อาจจะไม่กล้าเสนอความคิดเห็นส่วนตัวด้วยเหตุผลหรือความกดดันหลายๆอย่าง แต่ในเมื่อนี่คือกิจกรรมในเกม ไม่มีความกดดันเหมือนกับการทำงาน ทำให้สามารถออกความเห็นได้อย่างเต็มที่ และการออกความเห็นเหล่านี้อาจจะสามารถสะท้อนวิธีการคิด, การตัดสินใจ, การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือศักยภาพบางอย่างที่หัวหน้าไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นได้
2.รำลึกถึงเรื่องดีๆในอดีต
เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันทำให้รอบๆตัวมีแต่เรื่องน่าหนักใจ คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหลายๆคนจะรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ เพราะเรื่องน่าหนักใจทั้งหลายเหล่านี้มีผลกระทบกับชีวิตเรา จนอารมณ์ลบที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เราดิ่งลงไปและลืมความสุขของตัวเองไป การนึกถึงเรื่องราวดีๆในอดีตเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะทำให้คุณดึงตัวเองขึ้นมาได้ การนึกถึงเรื่องราวในอดีตไม่ใช่การหนีจากปัจจุบัน แต่เป็นการรำลึกถึงความรู้สึกที่ห่างหายไป เพราะเรื่องราวในอดีตมักจะพ่วงมาด้วยอารมณ์บวกเสมอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นอยู่ในความทรงจำเพราะเหตุการณ์เหล่านั้นพ่วงมาด้วยอารมณ์บางอย่าง เช่น คุณยังจำวันที่พาครอบครัวไปเที่ยวครั้งแรกได้ และความสุขในวันนั้นทำให้คุณตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า คุณจะต้องดูแลและทำให้คนที่คุณรักมีความสุขให้ได้ เป็นต้น
อาจจะฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่มีผลอะไรมาก แต่ว่าการนึกถึงเรื่องดีที่มีผลให้อารมณ์เปลี่ยน แน่นอนอาจจะพ่วงไปถึงภาษากายของคุณด้วย และเมื่อภาษากายคุณเปลี่ยน คนรอบตัวคุณจะรับรู้ได้ทันที สำหรับหลายๆคนที่มีสมาชิกอยู่ที่บ้าน อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้พูดคุยและแบ่งกันพลังงานดีๆให้กันและกันได้
3.Netflix & Chill
ประโยชน์ของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์อีกหนึ่งอย่างคือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมุมมองซึ่งกันและกัน เมื่อต้องแยกกัน แลกเปลี่ยนเหล่านี้อาจจะลดน้อยลงหรือหายไปเลย
ดังนั้นการใช้สื่อออนไลน์เหล่านี้ อาจจะเป็นทางออกที่หลายๆคนมองข้ามไป เพราะสื่อออนไลน์ทุกประเภท นอกจากเพื่อความผ่อนคลายและความบันเทิงแล้ว มักจะแฝงมาด้วยข้อความบางอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็น หนัง, Series, Anime, สารคดี ฯลฯ ข้อความบางอย่างที่คุณได้รับ อาจจะนำมาปรับใช้กับสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่รอบตัวคุณก็ได้ และที่สำคัญคุณจะไม่รู้สึกว่า Social Distancing ที่ปิดกั้นโอกาสที่คุณจะพบเจอและแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น ไม่ได้ปิดกั้นให้คุณได้รับมุมมองหรือแนวคิดใหม่ๆเลยแม้แต่น้อย
4.อ่านหนังสือ
ประโยชน์ของการอ่านคงไม่ต้องอธิบายมากนัก ดังนั้นสิ่งที่อยากแนะนำให้ลองทำร่วมกันคือ การนัดกันอ่านหนังสือเล่ม / เรื่องเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานของคุณ และลองหาเวลามา Discuss เกี่ยวกับหนังสือที่อ่าน เพราะทุกคนมีแนวคิดและมุมมองไม่เหมือนกัน หนังสือเล่มเดียวกัน ข้อมูลเดียวกัน แต่เมื่อถูกวิเคราะห์ด้วยคนหลายคนที่มีมุมมองต่างกัน แง่คิดต่างกัน เป็นอีกหนึ่งโอกาสให้คุณได้เรียนรู้ซึ่งใหม่จากเรื่องเดิมๆที่คุณเคยผ่านมาแล้ว จากประสบการณ์ของเพื่อนร่วมงานของคุณ เป็นการเปิดมุมมอง และอาจจะทำให้คุณมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานของคุณเพิ่มขึ้นด้วย


5.Workout
เป็นที่ทราบกันดีว่าการออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับดูแลสุขภาพ ที่ควรจะมีอยู่ในกิจวัตรประจำวัน ทั้งทำให้กล้ามเนื้อต่างๆแข็งแรง ลดอาการปวดตามส่วนต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น
ข้อดีอีกอย่างก็คือ การออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ร่างกายหลั่ง Endrophins ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุข และการออกกำลังกายที่ทำให้ Endrophins หลั่งได้ดีคือการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงไม่ว่าจะเป็น Circuit Training ที่เป็นการวน 3-5 Movement ต่อกันแล้วพักซัก 1-2 นาที หรือจะเป็น Tabata ที่ทำทีละ Movement 20 วินาที แล้วพัก 10 วินาที ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี Movement ที่เหมาะกับการเพิ่มความเข้มข้นในการออกกำลังกาย เช่น Body weight Squat , Leg Lunges , Push up/Incline Push up , Burpee เป็นต้น และปัจจุบันมีสื่อออนไลน์มากมายที่สอน Movement การออกกำลังกายอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้การออกกำลังกายในลักษณะนี้ หากประกอบกับการทานอาหารอย่างเหมาะสม ยังช่วยพัฒนาเรื่องระบบเผาพลาญอีกด้วย
6.ติดต่อกับเพื่อนเก่า
“เพื่อนเก่า” คือเพื่อนสนิทในช่วงชีวิตหนึ่งของเรา แต่อาจจจะต้องแยกกันด้วยเหตุผลต่างๆ ย้ายที่เรียน ย้ายที่ทำงาน หรือบางคนอาจจะอยู่ใกล้ๆกันแต่เวลาไม่ตรงกัน
การ Work from home ทำให้หลายๆคนมีเวลาชีวิตมากขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าของคุณ นี่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คล้ายกับการนึกถึงเรื่องดีๆ เพราะเมื่อเรามีความสัมพันธ์แบบ”เพื่อน”นั่นหมายความว่า เราให้ความหมายดีๆกับคนๆนี้ การพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ การเติบโตของแต่ละคน สิ่งใหม่ๆที่แต่ละคนเจอ การ Catch up เหล่านี้ ไม่ได้แค่ทำให้คุณเห็นว่าเพื่อนคุณเปลี่ยนแปลงยังไงเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณได้ทบทวนตัวเองผ่านการเล่าเรื่องของตัวเองให้เพื่อนฟังด้วย ว่าคุณเองก็ผ่านประสบการณ์แบบไหนมา และคุณเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง “เพื่อนเก่า” เหล่านี้เคยเห็นคุณที่เป็นแบบหนึ่งมาก่อน พวกเขาจึงมักจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปกับคนที่เพิ่งรู้จักกันมาระยะหนึ่งเท่านั้น


7.กำหนดตารางอย่างชัดเจน
คงทราบกันดีว่าการกำหนดและวางแผนตารางงานจะทำให้คุณบริการเวลาเกี่ยวกับการทำงานได้ดี แต่การกำหนดตารางไม่จำเป็นจะต้องจำกัดอยู่ที่งานเท่านั้น เมื่อคุณกำหนดหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบในการทำงานเรียบร้อย การกำหนดเวลาผ่อนคลาย หรือเวลาส่วนตัวของคุณก็สำคัญไม่แพ้กัน หลายๆคนที่ชอบออกสังคม คงหนีปัญหาการไม่ได้พบปะผู้คนไม่ได้ และอาจจะกำลังพยายามทำอะไรบางอย่างกับความว่างเปล่านี้อยู่ การวางแผนให้ตัวเองได้ตั้งตารอกิจกรรมนั้นๆหลังจากเสร็จงานก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้คุณไม่รู้สึกเหงาในสถานการณ์ที่ไม่สามารถพบเจอผู้คนได้
8.ทบทวนเป้าหมายของตัวเอง
เชื่อว่าทุกคนย่อมมีเป้าหมายในชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว การทบทวนเป้าหมาย คือการหาความชัดเจนให้ตัวคุณเอง ความชัดเจนที่ว่านี้คือองค์ประกอบที่จะใช้เป็นตัวตัดสินว่า คุณบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วหรือยัง เช่น ถ้าคุณบอกว่าเป้าหมายคือคุณอยากมีความสุข อะไรคือความสุขของคุณ? ถ้าคุณบอกว่าคุณอยากดูแลคนสำคัญรอบๆตัวของคุณ คุณจะต้องมีอะไรบ้าง? ถ้าคุณบอกว่าคุณอยากเป็นผู้ให้ อะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะหยิบยื่นให้คนอื่น และคุณพร้อมจะให้หรือยัง?
การหาความชัดเจนให้ตัวเอง ไม่ใช่การกดดันหรือด้อยค่าตัวเองว่า ตอนนี้ฉันยังทำไม่ได้ตามเป้าหมายของฉันเลย แต่เป็นการทบทวนว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยุ่ในตอนนี้ มีผลกับเป้าหมายของคุณมากน้อยแค่ไหน ความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผลกับเป้าหมายของคุณอย่างไรบ้าง? คุณต้องเริ่มทำอะไรใหม่ๆบ้าง? ต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง? ต้องทำอะไรน้อยลงบ้าง? หรือคุณต้องหยุดทำอะไรบ้าง?
9.การจัดระเบียบบ้าน
สภาพแวดล้อมรอบตัว มีผลกับสภาวะอารมณ์ของเราโดยตรง หลายๆคนคงจะเคยผ่านความรู้สึกที่ว่า “ฉันไม่สามารถทำอะไรบางอย่าง ในสภาพแวดล้อมบางอย่างได้” เมื่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เราต้องอยู่บ้านมากขึ้น จากเดิมที่ออกเดินทางแต่เช้า กว่าจะกลับถึงที่พักก็เกือบจะถึงเวลานอนแล้ว วันหยุดก็ออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้คน ทำให้บางคนอาจจะไม่ชินกับการอยู่บ้านหรือห้องของตัวเองด้วยซ้ำ ดังนั้นสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัยที่ดี ย่อมทำให้สภาวะอารมณ์ของเราดีขึ้นตามไปด้วย
พูดถึงการจัดบ้านก็จะนึกถึงการจัดบ้านแบบ KonMari ของคุณ Kondo Marie ซึ่งการจัดบ้านในแบบ Konmari ไม่ใช่แค่การจัดบ้านให้สวยงาม หรือเป็นระเบียบ แต่เป็นแนวคิดที่มีปรัชญามากมายซ่อนอยู่ในวิธีการจัดระเบียบบ้านในรูปแบบนี้ ซึ่งคุณ Kondo Marie ก็ได้เขียนหนังสือเอาไว้ ”ชีวิตดีขึ้นทุกๆด้าน ด้วยการจัดบ้าน แค่ครั้งเดียว”
หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจคือ แนวคิดแบบ Minimalist ด้วยความที่คุณ Kondo เป็นขาวญี่ปุ่น พื้นที่ในประเทศมีจำกัดมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ส่งผลให้พื้นที่ใช้สอยในแต่ละครัวเรือนน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งการจัดบ้านแบบ KonMari นี้ ได้พูดถึงวิธีการจัดสัดส่วนของสิ่งต่างๆในบ้านที่อาจจะแตกต่างกับการจัดบ้านของใครหลายๆคน คุณ Kondo จะแบ่งหมวดหมู่ของสิ่งของต่างๆ เช่น หมวดของใช้ประจำวันที่ใช้แล้วหมดไป (กระดาษชำระ, ถุงขยะ, ครีมอาบน้ำ ฯลฯ) หลายๆบ้านอาจจะใช้วิธีการเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ใกล้ๆกับจุดใช้งาน เช่นกระดาษทิชชู่ในห้องน้ำแต่ละห้อง ต้องมีสำรองไว้ห้องละ 1 แพ๊ค ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะทำให้การเติมหลังจากที่ใช้อันเดิมหมดง่ายขึ้น แต่ในแง่ของการจัดการ จะยุ่งยากและลำบากกับการตรวจสอบจำนวนว่า เหลืออยู่ทั้งหมดกี่ชิ้น? ได้เวลาซื้อเพิ่มหรือยัง? หรือแม้กระทั่งการจัดผู้เก็บเสื้อผ้าในแบบ KonMari ก็ยังพยายามจัดการให้ผู้อยู่อาศัย สามารถเห็นเสื้อได้ทุกชิ้น และแยกสีอย่างชัดเจน ทำให้ผู้อยู่อาศัยมองเห็นว่า เสื้อผ้าชิ้นไหนที่หยิบมาใส่น้อย ควรจะทิ้งไปไหม และมีภาพจำอย่างชัดเจนว่า หากจะเลือกซื้อเครื่องแต่งกายใหม่ควรจะเลือกสีอะไรดีที่ยังมีน้อยกว่าสีอื่นๆ
จะเห็นได้ว่า แนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งเราจะรู้ได้ทันทีว่าสิ่งไหนจำเป็นและต้องซื้อ จากการจัดการที่ทำให้คุณสังเกตสต๊อกสิ่งของต่างๆได้ง่าย และลดการซื้อที่ไม่จำเป็น ทำให้บ้านคุณโล่งสบาย และเป็นสัดส่วน
เราสามารถนำมาแนวคิดนี้มาปรับใช้กับการพัฒนาตัวเองได้ หากการจัดระเบียบสิ่งของทำให้คุณรู้ว่าอะไรขาดและทำให้เลือกซื้อสิ่งต่างๆเข้าที่อยู่อาศัยอย่างฉลาดได้ การรู้จักตัวเองมากขึ้น ก็จะทำให้คุณสามารถเลือกปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือส่งผลเสียกับคุณ และรับเฉพาะสิ่งที่คุณให้ความสำคัญจริงๆเท่านั้น
10.นั่งสมาธิ
การนั่งสมาธิ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่คุณจะรู้จักตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะการนั่งสมาธิคือการดึงสติกลับมาหาตัวเอง การนั่งสังเกตอารมณ์ สังเกตความคิดของตัวเอง นี่เป็นวิธีฝึกเพื่อให้มี Mindfulness อยู่ตลอดเวลา Life Enricher พูดถึงความเชื่อมโยงของ ความคิด – สภาวะอารมณ์ – ภาษากาย/พฤติกรรม เพราะความคิดโผล่ขึ้นมาตอบสนองต่อเหตุการณ์รอบตัวตลอดเวลา และทำให้เกิดสภาวะอารมณ์บางอย่างขึ้น สภาวะอารมณ์มีผลกับภาษากายและพฤติกรรมของเรา ดังนั้นการรู้ทันความคิดของตัวเองหมายความว่า เรามีพลังที่จะควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมต่างๆของเราได้
ปรัชญาโอโชกล่าวว่า การนั่งสมาธิ ไม่ใช่การทำสมาธิ ไม่ใช้การสร้างสมาธิขึ้นมา เพราะสมาธิมีอยู่ในตัวเราทุกคน แต่เป็นการฝึกควบคุมและใช้เพื่อให้รู้ทันตัวเองเสมอ
11.ดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ออกไปพบเจอผู้คน ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องดูแลตัวเองให้ดูดี เพราะหนึ่งคนที่จะเห็นคุณตลอดเวลาก็คือ ตัวคุณเอง
ภาพที่เรามองเห็นตัวเองผ่านกระจก มีผลกับสภาวะอารมณ์ในระดับหนึ่ง เคยสังเกตตัวเองไหมว่าเมื่อเรามั่นใจในตัวเอง บุคลิกและภาษากายของคุณจะเปลี่ยนไปในทันที สภาวะอารมณ์ดี บางคนใช้วิธีการแต่งตัวให้ดูดีเหมือนออกไปทำงานตามปกติ แต่ทำงานอยู่ที่บ้าน กิจกรรมเหล่านี้คือการปรับสภาวะอารมณ์ผ่านทางพฤติกรรม เหมือนกับอารมณ์/ความคิดที่มีผลกับพฤติกรรม พฤติกรรมก็มีความเชื่อมโยงกับสภาวะอารมณ์และความคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นถึงแม้บางคนอาจจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นจำต้องแต่งตัวเหมือนไปทำงานก็ไม่เป็นไร แค่คุณดูแลตัวเองให้คุณพอใจกับภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกก็เพียงพอแล้ว


12.ฝึกทำอาหาร
การทำอาหารเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่เริ่มทำได้ง่าย และยังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการดูแลตัวเองที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งด้วย การหัดทำอาหารทำให้คุณรู้ถึงส่วนประกอบของอาหารแต่ละประเภทว่ามีอะไรบ้าง นี่เป็นข้อมูลที่ดีสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เมื่อจำเป็นต้องไปเลือกทานอาหารตามร้านหรือภัตตาคาร
สำหรับหลายๆคนที่ทำอาหารเป็นอยู่แล้ว คงจะทราบกันดีว่าการทำอาหารมีขั้นตอนต่างๆมากมาย และการทำอาหารออกมาให้ดีได้ จะทำให้คุณมีความรู้สึกขอบคุณตัวเองกับการประกอบอาหารแต่ละมื้อ และมีความรุ้สึกขอบคุณกับคนที่เคยดูแลคุณ ดังนั้น การทำอาหารให้กับคนสำคัญของคุณ ก็เหมือนกันการส่งความรู้สึกดีๆ และความเอาใจใส่ให้กันในรูปแบบหนึ่ง เป็นอีกหนึ่งวิธีการสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้อบอุ่นไปด้วยความห่วงใยซึ่งกันและกัน
13.ฝึกเล่นดนตรี
การสื่อสารมีหลายรูปแบบ นอกจากการพูดกันปกติแล้ว การเล่นดนตรีก็เป็นการสื่อสารออกมาวิธีหนึ่งเช่นกัน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะสามารถพูดระบายความรู้สึกออกมาได้อย่างเต็มที่ การเล่นดนตรีก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการปลดปล่อยอารมณ์ออกมากับบทเพลงหรือเสียงดนตรี นอกจากนี้ การเล่นดนตรีก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการฝึกสมาธิเช่นกัน การจดจ่อกับตัวโน๊ตแต่ละโน๊ต คีย์ในการร้องเพลง อารมณ์แต่ละอารมณ์ที่พยายามจะสื่อออกมาก “ตอนนี้ฉันกำลังถ่ายทอดสิ่งนี้ออกมา” “ฉันกำลังมีความรู้สึกแบบนี้” “ฉันกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบนี้” นี่คือการรู้ทันตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง
14.ฝึกภาษา
เทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น ทำให้เราสามารถติดต่อกับผู้คนทั่วโลกได้ง่ายขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิตของคุณมีมากขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น การฝึกภาษาก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมพัฒนาตัวเองยามว่างที่จะทำให้คุณพร้อมคว้าโอกาสที่จะเข้ามาได้ทุกเวลา
ภาษาอังกฤษน่าจะเป็นภาษาที่ 2 ของใครหลายๆคน และคงจะมีความเห็นตรงกันว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เพราะการติดต่อกับคนต่างชาติคงเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายกับใครหลายๆคน และสำหรับคนที่ทำธุรกิจก็คงจะเข้าใจกันดีถึงโอกาสที่กว้างและหลากหลายมากขึ้นหากคุณสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติด้วยภาษาอังกฤษได้ นอกจากนี้แล้วการฝึกภาษาที่ 3 ก็เป็นอีกหนึ่งในเบิกทางที่จะทำให้คุณเติบโตในหน้าที่การงาน หรือเปิดโอกาสให้คุณสามารถเริ่มทำธุรกิจกับหลายๆประเทศได้ก่อนคนอื่น
ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเรียนรู้ภาษาไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มีสื่อการสอนออนไลน์ให้เลือกใช้มากมาย และนอกจากสื่อการสอนแล้ว การเสพสื่อในภาษาที่กำลังเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นเกม, หนัง, เพลง, หนังสือ, Series ฯลฯ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ภาษาต่างๆ
15.หาโอกาสทาง Online
พัฒนาการทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เราเข้าถึงสิ่งต่างๆผ่านระบบออนไลน์ได้มากขึ้น ง่ายขึ้น และสะดวกขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะบอกว่า คุณสามารถหาโอกาสให้ตัวเองได้มากขึ้น และง่ายขึ้น เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ผู้คนต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวก็ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อพฤติกรรมเปลี่ยน ความต้องการใหม่ๆก็เกิดขึ้นเสมอ
หมายความว่า ถ้าคุณคือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างฉลาด ติดตามและวิเคราะห์ คุณจะสามารถเปิดโอกาสในการทำสิ่งใหม่ๆให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและเป้าหมายของตัวคุณเองได้มากมาย การเข้าถึงผู้คนในรูปแบบต่างๆ อย่างการทำ Personal Branding ให้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก หรือการเลือกทำ Content ให้เข้ากับกระแสความสนใจในแต่ละช่วงเวลาล้วนเป็นโอกาสใหม่ๆทั้งสิ้น
นอกจากโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจแล้ว โอกาสในการเรียนรู้ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่หาได้ง่ายในโลกออนไลน์ มีทั้งสื่อที่เข้าถึงและหาข้อมูลได้ง่าย มีทั้งคอร์สการสอนเฉพาะทางที่ถูกออกแบบมาโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงกิจกรรมทางเลือกที่สามารถทำได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า หากคุณมีสติกับตัวเองอยู่เสมอ รู้เท่าทันตัวเอง กิจกรรมต่างๆรอบตัวเราล้วนมีความหมายกับเราในหลากหลายมิติมากกว่าที่คุณคิด และการได้เริ่มทำอะไรใหม่ๆเมื่อมีโอกาส คุณอาจจะได้ประโยชน์บางอย่างจากสิ่งนั้นในอนาคตก็เป็นได้
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599