
5 ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับ Work-Life Balance
หากพูดถึงเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงานทุกคน คงต้องนึกถึงคำว่า Work-Life Balance และถ้าเจาะลึกเข้าไปการเข้าใจคำว่า บาลานซ์ น่าจะเข้าใจกันเกือบหมดเลยก็ว่าได้ ผมมีโอกาสได้อ่าน Web Blog หนึ่งของต่างประเทศ เขาบอกว่า “บนโซเชียลส่วนใหญ่ตอนนี้ เข้าใจคำว่า เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ ผิด” ผมอ่านแล้วก็คิดในใจว่า มันจะผิดได้ยังไงทำงานแบบไม่เร่งรีบในแต่ละวันก็บาลานซ์แล้วหนิ ? นี่อาจเป็นสาเหตุที่คุณไม่ได้ใช้ชีวิตส่วนตัวหลังเวลาเลิกงาน เพราะ คุณคิดว่า คุณเองสามารถทำทุกอย่างเองได้ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ทุกอย่างที่คุณต้องทำนะครับ
เรื่อง Work-Life Balance คือ เรื่องที่ผมพยายามบอกทีมงานเสมอว่า ทำในเวลางานนะแบ่งเวลาให้เป็นนะ พักผ่อนให้เยอะ เป็นเรื่องที่บอกกันย้ำ ๆ เพราะเราอยากให้ทีมงานของเราได้พักกันจริง ๆ แต่รู้ไหมครับ คำว่า เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันเกือบหมดเลย ซึ่งจากวันนั้นที่ผมมีโอกาสได้อ่านบทความต่างประเทศบทความที่เขาถึงเรื่อง Work-Life Balance ที่คนเข้าใจผิดกันมากและเป็นปัญหาให้กับคนวัยทำงานส่วนใหญ่ ว่า เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ คือ การทำสามารถทำงานทุกอย่างได้ และถ้าใครติดตามผมตลอดผมจะบอกเสมอว่า “ความสำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำทุกเป็น หรือทำในปริมาณมาก”
ความสำเร็จมัน คือ การเลือกทำ การปฏิเสธให้เป็นเรือกโฟกัส อย่างในหนังสือ THE ONE THINK ที่รีวิวเมื่อสัปดาห์ก่อนในเพจสว่นตัวของผม กับประโยคที่ว่า I’m not a superhero ! คุณไม่ใช่ฮีโร่นะที่จะสามารถเสกทุกอย่างหรือทำทุกอย่างให้มันออกมาดีในเวลาเดียวกันได้ ดังนั้น การสร้าง Balance ก็เช่นกันไม่ใช่ทุกสิ่งที่คุณต้องทำและวิธีเช็ก Balance ด้วยตนเองง่าย ๆ คือ คุณมีเวลาทำงานอดิเรกครั้งล่าสุดเมื่อไร ? วันนี้ผมจะมาเล่าถึง 5 สิ่งที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับ เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ ที่คุณยังไม่รู้และอาจจะให้คุณไม่ได้ใช้ชีวิตส่วนตัวเท่าที่ควร
1. Work-Life Balance ความหมายของความสมดุลระหว่างงาน vs ชีวิต
ความสมดุลงาน vs ชีวิต คือ การวางแผนทำงานไม่ให้กระทบกับการใช้ชีวิตส่วนตัว คนส่วนใหญ่มักคิดว่า งานและการใช้ชีวิตต้องมีน้ำหนักเท่ากันเปรียบเทียบได้กับเครื่องชั่งน้ำหนักแบบสมัยก่อน ที่ต้องให้สมดุลน้ำหนักเท่ากันทั้ง 2 อย่าง
ลองนึกภาพตามง่าย ๆ ครับ ถ้าในวันนี้คุณเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งในค่ำคืนนั้นมีลูกค้าหลายท่านที่ต้องบริการ และคุณต้องเดินไปมาระหว่างห้องครัวกับโต๊ะอาหารพร้อมกับถือถาดกลมใหญ่ เพื่อเสิร์ฟอาหารมันยากและลำบากมากจริงไหมครับ ? ยิ่งไปกว่านั้นมันยากขึ้นอีกครับ เพราะลูกค้าแต่ละท่านทานไม่เหมือนกัน คุณจะทำอย่างไรให้อาหารเสิร์ฟได้เร็วที่สุดและคุณเหนื่อยน้อยที่สุด
นั่นแหละครับ ความสมดุลในการทำงานแต่ละวันไม่เหมือนกัน เหมือนกับเด็กเสิร์ฟคนนี้ คุณเพียงแค่ต้องรู้จักพลิกแพลง และหากลยุทธ์ทุกวัน เพื่อที่คุณจะได้ทำงานน้อยที่สุด แต่ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่งานและชีวิตต้องมีน้ำหนักเท่ากันครับ
2. WorK-Life Blance ความสามารถในการทำทุกอย่าง
แต่ความจริง คือ คุณสามารถทำทุกอย่างได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่คุณต้องทำซึ่งในบทความที่ผมอ่านมาประโยคเมื่อสักครู่ได้อ้างอิงข้อความของ David Allen ประโยคนี้โดนใจผมมากครับ เพราะ การที่เราทำไปซะทุกอย่าง จนเยอะเกินไปไม่รู้จุดโฟกัสของตัวเองก็เหมือนการเพิ่มถาดเสิร์ฟให้ตัวเองเดินยากขึ้น เสี่ยงล้มมากขึ้น ดังนั้น ไม่ใช่การเพิ่มงานลงในถาดของคุณ แต่มันคือ “ การเลือกสิ่งที่สำคัญและจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น “ ต่างหากครับ
3. ใช้ชีวิตสวยหรูบน Social คือ ความสุข
สื่อโซเชียลในทุกวันนี้ ทำให้เราถูกปลูกฝังจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างให้มีแนวโน้มความเชื่อจากผู้มีอิทธิพล หรือคนดัง จนลืมความสมดุลในตัวเอง เราทุกคนต่างมีการต่อสู้ เรามีไลฟ์สไตล์ และความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน
เพียงเพราะคุณเห็นตัวอย่างชีวิตคนอื่นบน Social ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเขาจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกคนก็เหมือนกับคุณ ทำงานหนักทุกวันเพื่อใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้น “จงพอใจกับชีวิตตนเองให้มากที่สุด” การใช้ชีวิตที่เป็นตัวเองให้มากที่สุดนั้นแหละ คือ ความสุขที่แท้จริง
4. ถ้าคนรอบข้างมีความสุข นั่นหมายถึงความ Balance ของเรา
คนส่วนใหญ่มักยึดติดกับชีวิตผู้อื่น เอาใจใส่ผู้อื่นหรือพยายามทำให้คนอื่นมีความสุข เพราะ คิดว่าเราก็จะมีความสุขและ Balance ในชีวิตก็จะดี จริง ๆ แล้วมันอาจไม่ใช่แบบนั้นนะครับ
ดังนั้นเมื่อคุณอยากสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานอย่างจริงจัง อย่าลืมใส่ตัวเองเข้าไปในสมการนั้น เพราะถ้าคุณไม่ทำคุณก็จะพบกับความเหนื่อยหน่ายทางจิตใจในที่สุด และสุดท้ายคุณก็จะพบว่าตัวเองไม่มีความสุขกับชีวิตเลย นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการมันจริง ๆ ถูกต้องไหมครับ
5. Work-Life Balance ของทุกคนหน้าตาเหมือนกัน
ความสมดุลของคุณ ไม่ได้เท่ากับหรือเหมือนกับคนอื่น สิ่งที่ไม่ควรทำคือมีความเชื่อว่า “ ถ้าเราใช้ทุกอย่างที่คนอื่นทำ เราจะประสบความสำเร็จ” สิ่งที่ควรทำจริง ๆ เมื่อคุณเริ่มมีความคิดแบบนี้ คือ ถอยออกมาและคิดว่าสิ่งนี้จะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณหรือไม่ ?
เพราะ การงาน อาชีพ ภาระ ครอบครัวของแต่ละคนแตกต่างกันสิ้นเชิง ดังนั้นสิ่งที่ใช้ได้ผลกับพวกเขาในตอนนี้อาจใช้ได้ผลสำหรับคุณ คุณต้องก้าวไปข้างหน้าและได้รับแรงบันดาลใจจากคนอื่น ลองใช้เคล็ดลับของพวกเขาและถ้ามันไม่ได้ผลสำหรับคุณ อย่ากล่าวโทษตัวเองว่าคุณทำอะไรผิด อาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์และลำดับความสำคัญของคุณต่างกัน
จาก 5 ข้อที่เป็นจุดหลัก ๆ ของความเข้าใจผิด ๆ ผมเชื่อว่าหลังจากที่คุณอ่านไปแล้วคุณจะได้นำไปปรับใช้สร้าง Balance และสร้างความสำเร็จได้อย่างจริง ๆ เพราะ คนที่จะสำเร็จได้ไม่ใช่คนที่ทำงานเยอะ แต่คือคนที่เข้าใจว่าต่อไปต้องทำอะไร และอะไรคือสิ่งที่ควรโฟกัส แล้วการสร้างสมดุลง่าย ๆ คือ เลือกทำในสิ่งที่จำเป็น แอบแชร์ประสบการณ์ของผมเอง เมื่อก่อน ก่อนที่จะมาสำเร็จได้แบบนี้ ผมเองใช้เวลาคุ้มค่ามากใน 1 วันต้องเคลียร์งานหลาย ๆ อย่าง ทำอย่างบ้างคลั่ง ทำงานครบ 7 วัน เพราะ มีความเชื่อว่าเจ้าของกิจการจะสำเร็จได้ ต้องทำงานให้หนัก ผมก็บ้าพลังจัดเต็มทุกวันจนเกือบหมดไฟ
เพราะ เราใส่แรงเยอะแต่ผลลัพธ์ยังไม่เกิด เราก็จะรู้สึกท้อ แต่เมื่อผมลองถอยออกมาก้าวหนึ่ง จัดตารางเวลาให้ดีขึ้น นั่งทำ Plan Do Check Action ต่าง ๆ ผลออกมาคือ ผมทำงานในปริมาณเท่าเดิม แต่มีเวลาพักมากขึ้น มีเวลาให้ครอบครัว คนรัก เพื่อนเต็มที่เลยครับ และแปลกไปกว่านั้นผลลัพธ์มันเกิดแบบงอกงามอย่างดีเลย ผมเลยมาลองนั่งวิเคราะห์ดูว่าเกิดจากปัจจัยอะไร ผล คือ ผมมีเวลาพักมากขึ้นเจออะไรใหม่ ๆ มากขึ้น มุมมองการคิดหรือการครีเอทสิ่งใหม่ มันทำออกมาได้ดีมากขึ้น ง่าย ๆ ตามหลักจิตวิทยา คือ อารมณ์ดี ส่งผลต่อการกระทำที่ดี และส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอีก ผมใช้วิธีนี้สอนทีมงานเสมอว่า การจัดตารางเวลา คือการสร้างบาลานซ์สมดุลที่ดีที่สุด
ทุกคนลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ เข้าใจ Balance ของตัวเองให้ถูกต้อง จัดตารางเวลาให้เข้าที่ และทำมันอย่างเคร่งครัดให้รางวัล ให้เวลาพักกับตัวเองบ้าง คุณเองสามารถทำทุกอย่างเองได้ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ทุกอย่างที่คุณต้องทำนะครับ
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : @LifeEnricher
Facebook: TheLifeEnricher
โทร: 02-017-2758, 094-686-6599